นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) (บล.ไทยพาณิชย์) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 2565 ให้กรอบดัชนีที่ 1,550-1,750 จุด หรือค่ามาตรฐานอยู่ที่ 1,650 จุด ส่วนอุตสาหกรรมไทยที่มีความโดดเด่นปีนี้ มองว่าธุรกิจที่ปรับตัวได้และมีการเติบโต เช่น กลุ่มธุรกิจพาณิชย์ ธุรกิจสื่อสาร ซึ่งจะได้ประโยชน์จาก 5G และเทคโนโลยี Metaverse (เมทาเวิร์ส) ธุรกิจประกัน กลุ่มยานยนต์ และธนาคาร ซึ่งราคาหุ้นยังไมแพง และ ที่ผ่านมามีการปรับตัวสู่ธุรกิจใหม่ๆ ประกอบกับปีนี้ดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับขึ้น ทำให้เป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2565 จะเติบโตในระดับปกติ หรือเติบโตประมาณค่าเฉลี่ยหรืออยู่ที่ 3.6% แต่จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่สายพันธุ์โอมิครอน ในขณะนี้จะมีผลกระทบระยะสั้น โดยคาดว่าจะมีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงกว่าเดลต้า ทำให้กดดันสถานการณ์เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1 ปีนี้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับว่าจะมีการควบคุมผู้ติดเชื้อได้แค่ไหน และจะนำไปสู่การล็อกดาวน์ในประเทศหรือไม่ ซึ่งจะเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม

แต่จากการประเมินในต่างประเทศเชื่อว่าระลอกของการระบาดของโอมิครอน จะสั้นกว่าสายพันธุ์เดลต้า ดังนั้นเชื่อว่าสถานการณ์เลวร้ายสุดจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยไม่เกิน 1 ไตรมาส ทำให้การเดินทางเข้ามาไทยของนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ง่ายเหมือนเดิมและผู้เดินทางจะระมัดระวังมากขึ้น และอาจมีการล็อกดาวน์แบบไม่เข้มข้นเท่าช่วงการระบาดของสายพันธุ์เดลต้า ทำให้กระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยลดลง 0.5% จากเป้าหมายเดิม ทำให้จีดีพีไทยลดลงเหลือประมาณ 3%

ในขณะเดียวกันโอมิครอนก็มีข้อดีในการสร้างภูมิคุ้มกันโควิดที่ดีด้วย และถ้าเป็นเช่นนี้ทั่วโลก ก็อาจทำให้สถานการณ์โควิดช่วงครึ่งหลังของปีนี้อาจจะดีขึ้นได้ทั่วโลก และทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจครึ่งปีหลังพลิกกลับมาดีและชดเชยสถานการณ์ไตรมาส 1 นี้ได้ ส่วนผลกระทบต่อตลาดหุ้นก็จะส่งผลต่อกลุ่มหุ้นที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวเป็นหลัก

สำหรับ 4 เทรนด์ด้านการลงทุนในปี 2565 ที่เชื่อว่าจะมาแรงมาก คือธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับเมทาเวิร์ส ไม่ว่าจะเป็นผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม ซึ่งจะเป็นกลุ่มธุรกิจแรกๆ ที่ได้ประโยชน์จากเมธาเวิร์ส กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี แม้ว่าที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีน ราคาปรับลดลงแรง แต่เชื่อว่าธุรกิจจะเติบโตสูงในอนาคต ทำให้ราคาหุ้นเทคโนโลยีจีน ในปัจจุบันถูกกว่าหุ้นเทคโนโลยีในอเมริกา ทำให้เป็นจุดที่น่าเข้าลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีจีน

ส่วนอีก 3 กลุ่มที่น่าลงทุน คือ ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานสะอาด ซึ่งแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานสะอาดจะปรับขึ้นไม่มาก เนื่องจากเป็นช่วงของการลงทุน แค่เชื่อว่าธุรกิจนี้จะเติบโตขึ้นในอนาคต ขณะที่ธุรกิจดูแลความปลอดภัยด้านข้อมูลทางไซเบอร์ ซึ่งจะมีความจำเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายคือ โลกการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล โดยแนะนำให้แบ่งสัดส่วนเงินลงทุน ไม่เกิน 15%

นายสุกิจ กล่าวอีกว่า คำเตือนฟองสบู่ในสินทรัพย์ดิจิทัล เกิดจากความนิยมของนักลงทุนที่เข้าหันไปลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะในคริปโตฯ บางสกุลที่มีปัจจัยพื้นฐานที่อ่อนกว่าก็จะมีความเสี่ยงให้เกิดฟองสบู่ได้


ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน