สรุปภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยวันที่ 30 พ.ค. 2565 ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,653.61 จุด +14.86 จุด หรือ +0.91% มูลค่าการซื้อขาย 67,561.59 ล้านบาท

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าตลาดหุ้นไทยวันนี้ (30 พ.ค.) ดัชนีบวกขึ้นมาค่อนข้างมาก เป็นการสะท้อนจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะความคาดหวังจากตลาดที่คาดหวังว่าเงินเฟ้อได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ขณะเดียวกันเงินสดในมือของนักลงทุนอยู่ในระดับที่สูง หลังนักลงทุนจำนวนมากได้มีการปรับสถานะการลงทุนในช่วงก่อนหน้า เนื่องจากนักลงทุนเห็นว่ามีความเสี่ยงหลายๆ อย่าง ในการปรับประมาณการณ์ ทั้งนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด จึงทำให้นักลงทุนขายหุ้นออกไปก่อนเพื่อถือเงินสดเพิ่มขึ้น ดังนั้นด้วยสถานะที่นักลงทุนถือเงินสุดในมือค่อนข้างสูง โดยตลาดไม่มีปัจจัยลบใหม่ๆ เข้ามา ทำให้ขณะนี้ได้เริ่มทยอยกลับเข้ามาซื้อหุ้นบางกลุ่มที่ปรับลดลงไปมากในช่วงก่อนหน้านี้ ทำให้ภาพรวมของตลาดหุ้นในช่วงนี้ฟื้นตัวขึ้นมาได้

อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวของดัชนีหุ้นไทยในวันนี้ทำให้ประเมินแนวต้านสำคัญอยู่ที่บริเวณ 1,660 จุด ซึ่งมีโอกาสที่จะผันผวนได้ อย่างไรก็ตาม หากพรุ่งนี้ (31 พ.ค.) หรือมะรืนนี้ (1 มิ.ย.) ดัชนีตลาดสามารถผ่านหรือปิดเหนือ 1,660 จุด ขึ้นไปได้ ภาพรวมในการลงทุนช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า มีโอกาสที่ดัชนีตลาดจะปรับตัวดีขึ้นได้อีกระดับหนึ่ง หนือมีโอกาสเห็นการยกกรอบการเล่นขึ้นไปทดสอบในระดับ 1,680 จุด หรือสูงกว่าได้

โดยหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
1. AOT มูลค่าการซื้อขาย 4,239.83 ล้านบาท +0.50 บาท (+0.72%)
2. PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,309.28 ล้านบาท +0.50 บาท (+1.33%)
3. PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,763.31 ล้านบาท 0.00 บาท (0.00%)
4. KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,499.14 ล้านบาท +1.50 บาท (+1.02%)
5. BDMS มูลค่าการซื้อขาย 1,494,81 ล้านบาท 0.00 บาท (0.00%)

สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามในระยะ 2-3 วันข้างหน้า สำหรับการประขุมของสมาชิกสหภาพยุโรป หรือ EU ว่าด้วยข้อตกลงร่วมกันในประเด็นห้ามการนำเข้า (แบน) น้ำมันจากรัสเซีย และในวันที่ 2 มิ.ย. จะมีการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ในการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน ซึ่งคาดว่าทั้ง 2 เรื่องจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่หากมีการยกนะดับความเข้มข้นในการแบนน้ำมันจากรัสเซีย ในระยะสั้นอาจทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับราคาขึ้น จเเป็นปัจจัยหนึ่งที่อาจทำให้ดัชนีหุ้นไทยสามารถเคลื่อนไหวดีกว่าที่นักลงทุนคาด

ดัชนีตลาดบริเวณแถว 1,655-1,660 จุด จะมีหลายแนวต้าน เนื่องจากมีโอกาสที่ตลาดจะเผชิญความผันผวนหรือแรงขายทำกำไรมีให้เห็นแน่ๆ ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนโดยหลักแล้ว เป็นจะเป็นการเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มที่ปรับลงมาเยอะ เช่น กลุ่มการเงิน กลุ่มอาหาร ซึ่งมีประเด็นเรื่องราคาอาหารที่แพงขึ้น (food inflation) เข้ามาช่วย รวมทั้งหุ้นในกลุ่มการเปิดเมือง หรือหุ้นในกลุ่มการท่องเที่ยว อาจจะเห็นการเก็งกำไรในหุ้นที่ไม่ใช่หุ้นหลัก เนื่องจากหุ้นหลักหลายตัวปรับขึ้นไปรับข่าวมากพอสมควรแล้ว ดังนั้นจะเห็นการฟื้นตัวของหุ้นโรงแรมแถวสอง หรือหุ้นท่องเที่ยวที่ยังไม่ค่อยขึ้น อาจเห็นการเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มนี้ได้

อย่างไรก็ตาม ขอให้นักลงทุนเก็งกำไรอย่างระมัดระวัง เนื่องจากระดับดัชนีที่ 1,660 จุด หรือสูงกว่านั้นก็ยังเป็นแนวต้านที่แข็ง ประกอบกับตลาดยังไม่มีจุดเปลี่ยนในเชิงพื้นฐานไปกว่าเดิมเท่าไร


ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน