สรุปภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยวันที่ 13 มิ.ย. 2565 ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,600.06 จุด -32.56 จุด (-1.99%) มูลค่าการซื้อขาย 73,466.76 ล้านบาท

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ (13 มิ.ย.) ปรับลดลงค่อนข้างแรงใกล้ๆ ระดับดัชนีที่ 1,600 จุด
โดยเป็นการปรับลดลงตามตลาดหุ้นทั่วโลก สาเหตุมาจากเมื่อวันศุกร์ที่ 10 มิ.ย. สหรัฐ รายงานตัวเลขเงินเฟ้อสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ทำให้เกิดการเปลี่ยนมุมมองในภาพระยะกลาง จากที่ก่อนหน้านี้หลายฝ่ายมองว่าเงินเฟ้อสหรัฐ อาจผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว โดยอาจมีผลทำให้การดำเนินนโยบายการเงินตึงตัว ของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด จะลดน้อยลง

อย่างไรก็ตาม หลังสหรัฐประกาศตัวเลขเงินเฟ้อเดือนพ.ค. กลับไปทำจุดสูงสุดใหม่ ทำให้มุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นของนักลงทุนมีความระมัดระวังมากขึ้น จากก่อนหน้านี้มีการประเมินว่าเงินเฟ้อสหรัฐ อาจผ่านจุดสูงสุดและการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดน่าจะไปสูงสุดช่วงเดือนก.ย.ปีนี้ และหลังจากนั้นจะเริ่มตรึงอัตราดอกเบี้ยแล้ว แต่ในความเป็นจริงไม่เป็นไปตามคาด และวงจรการปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจจะยืดยาวไปถึงช่วงต้นปี 2566 ด้วยซ้ำไป ดังนั้นจุดนี้เองทำให้นักลงทุนต้องมีการปรับพอร์ตการลงทุน เนื่องจากมีความกังวลจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดการชะงักงันของเศรษฐกิจเกิดขึ้น (strucflation) หรือเงินเฟ้อสูงการเติบโตของเศรษฐกิจต่ำ

โดยหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับ
1. TOP มูลค่าการซื้อขาย 3,132.22 ล้านบาท -3.25 บาท (-5.73%)
2. PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,573.06 ล้านบาท -1.00 บาท (-2.67%)
3. SCB มูลค่าการซื้อขาย 2,422.23 ล้านบาท -3.50 บาท (-3.14%)
4. KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,873.76 ล้านบาท -2.50 บาท (-1.67%)
5. OR มูลค่าการซื้อขาย 1,753.57 ล้านบาท -1.00 บาท (-3.70%)

ทั้งนี้ จากความกังวลว่าจะเกิดการชะงักงันของเศรษฐกิจ ทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ สินค้าโภคภัณฑ์ และ กองทุนเพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือรีทส์ รวมถึงหุ้นในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่าง กลุ่มธุรกิจประกัน เป็นต้น ดังนั้นคำแนะนำการลงทุนในระยะกลางจะมีความเสี่ยงจากการรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน อาจจะต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ และจะมีการทะยอยปรับประมาณการณ์กำไรลดลง โดยจะทำให้เห็นทิศทางตลาดหุ้นปรับลดลง

แต่ทั้งนี้ จะเห็นการปรับลดลงไม่เท่ากัน โดยเฉพาะหุ้นที่มีต้นทุนเป็นน้ำมัน อย่างปิโตรเลียม ลอจิสติกส์ ขนส่ง จะมีการปรับประมาณการณ์ลดลง และมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับลงไปลึก ส่วนหุ้นในกลุ่ม ที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่าง กลุ่มท่องเที่ยว เปิดเมือง ยังสามารถลงทุนได้ ในลักษณะทยอยตั้งรับ แต่ไม่ไล่ราคา

อย่างไรก็ดี ถ้าดัชนีหลุด 1,600 จุด จะมีการแกว่งตัวลดลงไปบริเวณ 1,540 จุด ดังนั้นระยะสั้น นักลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวัง โดยเฉพาะจับตาการประชุมเฟดในคืนวันพุธที่ 15 มิ.ย. เนื่องจากหลายฝ่ายกังวลว่าเฟดจะใช้ยาแรง โดยปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็น 0.75% ดังนั้นในช่วง 2-3 วันแรกของการเปิดซื้อขายหุ้น นักลงทุนมีการรับข่าวความเสี่ยงเชิงลบของตลาดไปแล้ว ดังนั้นโอกาสจะเห็นดัชนีหุ้นย่อตัวลงไปจนกว่าจะเห็นความชัดเจนของการส่งสัญญานของเฟดในวันพุธนี้ ทำให้ดัชนีหุ้นมีโอกาสที่จะซึมลงต่อ


ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน