บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด สรุปภาวะตลาดเงินตลาดทุนรายสัปดาห์ (4-8 ก.ค. 2565) สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท เงินบาทฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนช่วงปลายสัปดาห์ หลังร่วงแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 6 ปีครึ่งที่ 36.35 บาทต่อดอลลาร์ ทั้งนี้ เงินบาทเผชิญแรงขายในช่วงแรกเช่นเดียวกับสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชียสวนทางเงินดอลลาร์ ที่แข็งค่าขึ้นในฐานะสกุลเงินปลอดภัยท่ามกลางความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก

นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ ยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมระหว่างสัปดาห์จากรายงานการประชุมเฟด (14-15 มิ.ย.) ที่ยังคงสะท้อนว่า เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยพร้อมๆ กับลดงบดุลต่อไปเพื่อสกัดเงินเฟ้อในสหรัฐ
อย่างไรก็ดี เงินบาทฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนช่วงปลายสัปดาห์ตามจังหวะซื้อสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยของต่างชาติ ขณะที่เงินดอลลาร์ เผชิญแรงขายทำกำไร หลังเจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณว่า เฟดมีโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ยด้วยขนาดที่น้อยลงในรอบการประชุมที่เหลือของปี หลังจากที่ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 75 bps. แล้วในเดือนก.ค.

อนึ่ง ธปท. กล่าวถึงการอ่อนค่าของเงินบาทว่า มีสาเหตุมาจากปัจจัยภายนอก โดยธปท. จะยังคงปล่อยให้เงินบาทปรับตัวไป ตามกลไกตลาด แต่อาจมีการเข้าไปดูแลเพื่อลดความผันผวนหากพบการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ ในวันศุกร์ที่ 8 ก.ค. 2565 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 35.99 บาทต่อดอลลาร์ เทียบกับระดับ 35.64 บาทต่อดอลลาร์ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (1 ก.ค.)

ขณะที่ระหว่างวันที่ 4-8 ก.ค. นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 1,344 ล้านบาท ขณะที่มีสถานะเป็น NET INFLOW เข้าสู่ตลาดพันธบัตร 793 ล้านบาท (โดยแม้ต่างชาติจะซื้อสุทธิพันธบัตรไทย 1,903 ล้านบาท แต่ก็มีตราสารหนี้ที่หมดอายุ 1,110 ล้านบาท)

สัปดาห์นี้ (11-15 ก.ค.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ระดับ 35.70-36.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์เงินทุนต่างชาติ และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคา ผู้ผลิต ยอดค้าปลีก ข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย. ผลสำรวจกิจกรรมการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์ก และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (เบื้องต้น) เดือนก.ค. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และรายงาน Beige Book ของเฟด

นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางเกาหลีใต้ และข้อมูลเศรษฐกิจจีน อาทิ จีดีพีไตรมาส 2/2565 ยอดปล่อยกู้สกุลเงินหยวนและตัวเลขการส่งออก เดือนมิ.ย. ด้วยเช่นกัน

สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย ตลาดหุ้นไทยยังคงเคลื่อนไหวผันผวน ทั้งนี้ หุ้นไทยร่วงลงแรงช่วงต้นสัปดาห์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย การแพร่ระบาดของโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย รวมถึงอัตราเงินเฟ้อเดือนมิ.ย. ของไทยที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี หุ้นไทยฟื้นตัวกลับมาในเวลาต่อมาตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค หลังราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวลงช่วยคลายความกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อลงบางส่วน

สำหรับสัปดาห์ที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มแบงก์และไฟแนนซ์เผชิญเทแรงขาย ขณะที่นักลงทุนรอติดตามรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ที่จะทยอยประกาศออกมาในสัปดาห์หน้า ในวันศุกร์ (8 ก.ค.) ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,557.87 จุด ลดลง 0.94% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 65,010.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.62% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 4.21% มาปิดที่ 572.34 จุด

สำหรับสัปดาห์นี้ (11-15 ก.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,530 และ 1,500 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,570 และ 1,595 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การทยอยประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 2/65 ของ บจ. ไทย ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ประเด็นรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงสถานการณ์โควิด

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ยอดค้าปลีก และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย. ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนมิ.ย. ของญี่ปุ่นตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2565 และข้อมูลเศรษฐกิจเดือนมิ.ย. ของจีน อาทิ การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร ตัวเลขนำเข้า/ส่งออก

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน