นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานสัมมนา “ก้าวใหม่เศรษฐกิจการเงินภาคใต้…ปรับกระบวนทัพรับกระแสโลก” ในหัวข้อ “ชีพจรเศรษฐกิจการเงินภาคใต้และความท้าทายที่ต้องก้าวข้าม” ว่า ประเทศไทยเจอผลกระทบจากโควิด-19 ร้ายแรงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค ส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอาจจะช้ากว่าประเทศอื่น โดยการฟื้นตัวใกล้เคียงช่วงก่อนโควิด-19 จะอยู่ในช่วงไตรมาส 1/2566 เนื่องจากโควิด-19 กระทบกับจุดเปราะบางของไทย นั่นคือ ภาคการท่องเที่ยวซึ่งเศรษฐกิจไทยพึ่งพาส่วนนี้อย่างมาก โดยเฉพาะการท่องเที่ยวในภาคใต้ที่อาจจะฟื้นตัวช้ากว่าเศรษฐกิจประเทศ เพราะเศรษฐกิจภาคใต้พึ่งพาการท่องเที่ยวสูงเป็นพิเศษ

“ตอนนี้ต้องบอกว่าหลายอย่างดีขึ้น แม้ว่าจะมีบางความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นก็ตาม สิ่งแรกที่เห็นคือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่อาจจะล่าช้า ไม่ได้เร็วอย่างที่อยากจะเห็น แต่มันก็มา เห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ต่อเนื่อง สะท้อนจากตัวเลขจีดีพีในไตรมาส 1/2565 ขณะที่ไตรมาส 2/2565 ก็น่าจะออกมาดี จากการบริโภคในประเทศที่โตต่อเนื่อง กิจกรรมทางเศรษฐกิจดีขึ้นกว่าแต่ก่อน จากการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ รายได้คนก็ดีขึ้น เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ติดลบเยอะ แม้ว่ารายได้ที่โตขึ้นมาจากฐานต่ำ แต่ เทรนด์ก็ดีขึ้น ช่วยให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจด้านการบริโภคดีขึ้น โดยการฟื้นตัวขึ้นดังกล่าว ทำให้ ธปท. ปรับคาดการณ์จีดีพีในปีนี้โตที่ 3.3% และปีหน้า 4.2%” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว

นายเศรษฐพุฒิ กล่าวอีกว่า ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่ค่อยดีกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ คืออัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น โดยล่าสุดเดือนมิ.ย. อยู่ที่ 7.66% มาจากปัญหาสงครามของรัสเซียและยูเครน ส่งผลให้เงินเฟ้อวิ่งขึ้นไปสูง และมีผลข้างเคียงกับระบบเศรษฐกิจค่อนข้างเยอะ ทำให้เงินเฟ้อกลายเป็นโจทย์ใหญ่ของเศรษฐกิจไทย ดังนั้นบริบทของนโยบายการเงินในปัจจุบันจึงต้องเปลี่ยนมาให้ความสำคัญในการดูแลสถานการณ์เงินเฟ้อ จากช่วงโควิด-19 ที่นโยบายการเงินต้องให้ความสำคัญกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ มองว่า หน้าที่หลักของ ธปท. คือต้องทำให้มั่นใจว่าเครื่องยนต์เงินเฟ้อจะไม่ติด ทำให้คนคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะไม่ไปต่อ เพราะถ้าคนคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะไปต่อเนื่อง ทำให้เครื่องยนต์เงินเฟ้อติด เงินเฟ้อก็จะไปต่อเนื่อง ไม่ใช่ขึ้นแค่ช่วงเดียว และโอกาสจะกลับเข้ากรอบก็จะน้อย หากเงินเฟ้อหลุดไป การดึงกลับมาจะเหนื่อยมาก ซึ่งกลไกปกติ คือ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในยามจำเป็นเพื่อดูแลกรอบเงินเฟ้อ นี่เป็นเครื่องมือที่จะใช้ในการดำเนินการตรงนี้

“ขอย้ำว่าการดำเนินนโยบายการเงินในการดูแลอัตราดอกเบี้ย บริบทของ ธปท. ในปัจจุบันต่างกันโดยสิ้นเชิงกับบริบทของธนาคารกลางในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐ หรือยุโรป เพราะเศรษฐกิจของเขาฟื้นตัวเร็วและแรง ส่วนของไทยเศรษฐกิจเพิ่งเริ่มฟื้น โจทย์ของเราคือทำอย่างไรให้การฟื้นตัวไปได้ต่อเนื่อง ไม่สะดุด ดังนั้นการดำเนินนโยบายการเงินจึงต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เราแค่ถอนคันเร่งน้อยลง ไม่ใช่เหยียบเบรก เพื่อให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ถ้านโยบายการเงินไม่มีการปรับบริบทเลย ผลข้างเคียงต่างๆ ที่เสียหายจะเกิดขึ้น เช่น ถ้าไม่ปรับนโยบายการเงิน ไม่ปรับดอกเบี้ยให้เข้าใกล้ภาวะปกติมากขึ้น เงินเฟ้อก็จะไป คนที่จะเดือดร้อนคือกลุ่มเปราะบาง ซึ่งผมไม่เถียงว่าไทยหากมีการปรับดอกเบี้ยขึ้น จะกระทบทั้งครัวเรือนและภาคธุรกิจ เพราะบ้านเราครัวเรือนหนี้สูง แต่ถ้าเงินเฟ้อเพิ่มกระทบเขาหนักกว่า ค่าครองชีพเพิ่มผล กระทบครัวเรือนหนักกว่าผลกระทบจากดอกเบี้ยและภาระหนี้ขึ้น” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว

นายเศรษฐพุฒิ กล่าวอีกว่า ตอนนี้เงินบาทอ่อนค่าสุดในรอบ 7 ปี จึงเป็นข่าวและเป็นกระแสพอสมควร แต่การอ่อนค่าของเงินบาทหลัก ๆ มาจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะการแข็งค่าของเงินดอลล่าร์ ซึ่งมีผลทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง แต่เป็นการอ่อนค่าในระดับกลางๆ เมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น เช่น เยน วอน และเปโซ เป็นต้น ที่มีทิศทางการอ่อนค่ามากกว่าเงินบาท

“คำถามว่าภาพรวมเงินบาทอ่อนค่าผิดปกติ หลุด หรือผิดเพี้ยนจากชาวบ้านโดยสิ้นเชิงหรือไม่ คำตอบก็คือ ไม่! เงินบาทอ่อนค่าอยู่ในระดับกลางๆ ค่อนไปทางสูงด้วยซ้ำ โดยดอลลาร์แข็งค่าประมาณ 11% ขณะที่เงินบาทอ่อนค่าประมาณ 7% บาทไม่ได้อ่อนเท่าเงินดอลลาร์แข็ง สะท้อนว่ามันถูกขับเคลื่อนจากดอลลาร์เป็นหลัก ทิศทางเป็นไปตามกลไกตลาด ดอลลาร์แข็งเมื่อไหร่ แนวโน้มบาทก็จะอ่อนค่า ถ้าดอลลาร์อ่อน แนวโน้มบาทก็จะแข็งค่า และ ธปท. ก็มีข้อจำกัดในการที่จะเข้าไปดำเนินการตรงนี้ แต่สิ่งที่ไม่อยากเห็น คือ การปรับที่เร็วเกินไป เพราะผู้ประกอบการในภาคนำเข้าและส่งออกจะลำบากในการปรับตัว” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว

นอกจากนี้ ธปท. ยืนยันว่าประเด็นหลักที่เป็นตัวขับเคลื่อนทำให้เงินบาทอ่อนค่า ยังมาจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ โดยยังไม่เห็นเรื่องเงินทุนเคลื่อนย้ายที่มากมายมหาศาล ไม่ได้เห็นอะไรผิดปกติ หลักๆ และมองไปในระยะข้างหน้าก็เป็นไปได้ที่ค่าเงินดอลลาร์อาจจะกลับมาอ่อนค่าอีก หากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ เริ่มเปลี่ยน และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ดำเนินการนอกเหนือจากที่ตลาดคาดการณ์

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน