อดีตแกนนำ ทษช. ประเดิมปราศรัย ‘ก้าวต่อไปเพื่อประชาธิปไตย’ ที่ร้อยเอ็ด ขอเลือกฝ่ายประชาธิปไตยให้ถล่มทลาย หยุดเผด็จการสืบทอดอำนาจ

13 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อดีตแกนนำพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) อาทิ นายจาตุรนต์ ฉายแสง , นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ , นายพิชัย นริพทะพันธุ์ , นายก่อแก้ว พิกุลทอง , นายนิคมไวยรัชพานิช , นายประภัสร์ จงสงวน , นายแพทย์เหวง โตจิราการ , นายแพทย์เชิดชัย ตันติศิรินทร์ , นางสาวอรุณี กาสยานนท์ , นายพชร ธรรมมล และ นางสาวชญาภา สินธุไพร

เปิดเวทีปราศรัย ‘ก้าวต่อไปเพื่อประชาธิปไตย’ ครั้งแรกที่ลานข้างที่ทำการป่าไม้ตลาด อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด มีประชาชนร่วมฟังปราศรัยจำนวนมาก และมีหลายคนมาขอถ่ายรูปร่วมกับแกนนำ

นายประภัสร์ จงสงวน กล่าวว่า ทุกวันนี้เราเห็นความพยายามที่รัฐบาลพยายามจะดึงเอาฝ่ายต่างๆมาแล้วอ้างว่าเป็นประชาธิปไตย แต่สุดท้ายก็เป็นเผด็จการเหมือนเดิม ที่ผ่านมาใช้เงินงบประมาณมหาศาลไปอุดหนุนกลุ่มทุน คำว่า ‘ประชารัฐ’ ประชาก็คือกลุ่มทุนอย่างเดียว เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประชาชนซื้อของอย่างอื่นไม่ได้นอกจากสินค้าในกลุ่มนายทุนอย่างเดียว

ดังนั้นจึงถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเปลี่ยนให้การแสดงความคิดเห็นทำได้โดยไม่ถูกจับไปปรับทัศนคติ หรือแม้โครงการรถไฟเชื่อมต่อสนามบินสุวรรณภูมิ อู่ตะเภา และดอนเมือง ทั้งที่เป็นรถไฟความเร็วสูง แต่กลับสร้างจุดจอดจำนวน 7 จุดและเชื่อมต่อโครงการ EEC ที่ได้สิทธิประโยชน์จากรัฐมหาศาล เอาที่ดินภาคตะวันออกให้กับกลุ่มทุน ดังนั้นจึงจะเห็นว่าเป็นโครงการที่ใช้เงินจากภาษีประชาชนไปให้สิทธิประโยชน์กับกลุ่มทุน ซึ่งสิ่งเหล่านี้รัฐบาลต้องถูกตรวจสอบและต้องมาชี้แจง

แต่จะทำแบบนั้นได้ก็ต่อเมื่อได้รัฐบาลที่เป็นประขชาธิปไตย ไม่ใขช่รัฐบาลที่ดูเหมือนจะเป็นประชาธิปไตย แต่ไม่ใช่เพราะเบื้องหลังคือ ส.ว. 250 เสียงที่รอเลือกนายกรัฐมนตรี และการจัดการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรที่เละเทะ ดังนั้นประชาชนต้องช่วยกันตรวจสอบการนับคะแนน โดยเฉพาะการเลือกตั้งล่วงหน้าให้โปร่งใสยุติธรรม

จากนั้นนายพิชัย นริทะพันธุ์ กล่าวว่า หลังจากรัฐประหาร การลงทุนจากแสนล้านวูบลงเหลือไม่กี่หมื่นล้านบาท ซึ่งทหารพยายามเชิญตัวไปให้คำปรึกษาในเรื่องเศรษฐกิจหลายครั้ง ตนก็ยืนยันไปหลายครั้งว่าการปกครองแบบเผด็จการที่กดขี่ประชาชนจะทำให้คนไม่กล้าลงทุน และเศรษฐกิจก็จะแย่ตามมา

แต่ไม่รับฟังเพื่อไปปฏิบัติตาม การบริหารเศรษฐกิจในประเทศไทยเหมือนกับทฤษฎีกบต้ม ที่เอากบใส่หม้อ ค่อนๆ เพิ่มความร้อนจนสุดท้ายกบตาย คล้ายกับการทำให้เศรษฐกิจค่อยๆ แย่ไปเรื่อยๆ 5 ปีที่ผ่าานมาเศรษฐกิจเสียหายไป 10 ล้านล้านบาท และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ต่อไปเศรษฐกิจไม่มีทางดี แม้จะเปลี่ยนลุคเป็นหวานแหววก็ตาม นอกจากนี้ยังมีการคอร์รัปชั่นใช้พรรคพวก และสุดท้ายคือการใช้อำนาจ

นายจาตุรนต์ ฉายแสง กล่าวปราศรัยว่า มีคนมุกดาหารเล่าให้ฟังว่าพรรคที่สนับสนุนทหารแจกเงินประชาชนจำนวนมาก เวลามาปราศรัยก็มีคนมาฟังเยอะ เพราะหลังจากปราศรัยจะไปแจกเงินถึงบ้าน พี่น้องหลายๆ จังหวัดในภาคอีสาน ตนเชื่อว่าเป็นเหมือนกัน คือ เวลาใครเอาเงินมาให้ก็รับไว้ แต่เวลาเลือกตั้งจะกาพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ผู้สมัครบางคนหาเสียงเลยต้องหาเสียงโดยไม่บอกพรรค

แต่ให้เลือกที่ตัวบุคคล เพราะตัวเองไปอยู่พรรคทหาร แต่สำหรับจังหวัดร้อยเอ็ดตนเองรู้ดีว่าพรรคฝ่ายเผด็จการถ้าคิดจะใช้อำนาจและเอาเงินมาให้ จะต้องได้รับการสั่งสอนจากชาวร้อยเอ็ด เมื่อก่อนจะมีคนพูดว่าถ้าคิดจะซื้อเสียงให้ไปซื้อที่ภาคอีสาน เพราะเมื่อปี 2522 มีอดีตรัฐมนตรีมาลงสมัครรับเลือกตั้งและวางแผนการซื้อเสียงอย่างเป็นระบบ จึงเป็นที่มาของคำว่า ‘โรคร้อยเอ็ด’

แต่พอต่อมาเริ่มมีหลายพรรคการเมืองเข้ามาแข่งขันกันด้วยนโยบาย แต่ในปี 2544 เกิดพรรคไทยรักไทยที่เอานโยบายมาเสนอให้ชาวอีสาน ทั้ง 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน เป็นต้น และนโยบายเหล่านั้นถูกใจคนอีสาน เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีใครทำให้เข้าถึงราคาพืชผลการเกษตรที่ดี ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ประชาชนจึงเลือกพรรคนี้อย่างถล่มทลายได้จัดตั้งรัฐบาล และไม่ทำให้ชาวอีสานทั่วประเทศผิดหวัง และปี 2548 พรรคไทนรักไทยชนะการเลือกตั้งถล่มทลายและสูงที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งไทย รวมทั้งประชาชนที่มาเลือกตั้งมากที่สุดคือคนอีสาน

หลังจากนั้นจึงเป็นที่รู้กันไปทั่วว่าประชาชนที่ใส่ใจการเลือกตั้งมากที่สุดคือประชาชนชาวอีสาน ดังนั้นหากใครจะมาจากเงินก็รับให้หมด แต่สุดท้ายแล้ว ชาวอีสานก็จะเลือกที่พรรค ว่าใครเป็นผ่านประชาธิปไตย หรือฝ่ายเผโ้จการ 5 ปีที่ผ่านประชาชนเดือดร้อนซึ่งบริหารโดย คสช. และหากให้บริหารต่อ คสช. ก็จะบริหารต่อไปอีก 20 ปี แถมกติกาในรัฐธรรมนูญก็ไม่เป็นธรรมชาวร้อยเอ็ดทั้งจังหวัดเลือิก ส.ส. ได้ 7 คน แต่ พล.อ.ประยุทธ์ คนเดียวเลือก ส.ว. ได้ถึง 250 คนและมีสิทธิ์มาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี

ดังนั้นการไม่ไปลงคะแนนบ้าง แบ่งคะแนนไปให้คนโน้นคนนี้บ้าง ก็จะไม่ชนะการเลือกตั้ง แต่ต้องลงคะแนนเสียงกันอย่างล่มทลาย เหมือนกับอดีตที่ผ่านมา แม้จะมีการวาวงกติกาเพื่อป้องกันไม่ให้พรรคการเมืองสายไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง แต่สุดท้ายพรรคพลังประชาชนก็ได้บริหารประเทศ ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นการพิสูจน์อีกครั้ง ว่าชาวร้อยเฮ็ดไม่เอาเผด็จการหวังสืบทอดอำนาจ เงินซื้อไม่ได้ และจะเลือกฝ่ายประชาธิปไตยเท่านั้น

ปิดท้ายด้วย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ซึ่งกล่าวปราศรัยว่า ตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมาตนไม่ได้มาพูดคุยกับประชาชน เพราะมีทหารเข้ามารัฐประหารยึดอำนาจ ห้ามชุมนุมทางการเมือง ห้ามชูสามนิ้ว หรือบางคนแค่กินแซนวิชก็โดนจับ แต่วันนี้ได้มีโอกาสเข้ามากลับมาพูดคุยกับประชาชนแล้ว จึงอยากจะมาบอกให้ประชาชนฟังถึงการเลือกตั้งครั้งนี้ ว่าไม่ใช่แค่การเลือกผู้แทนเขต หรือพรรครัฐบาล แต่เป็นการเลือกอนาคตของประเทศ

ถ้าเลือกการสืบทอดอำนาจก็จะยาวไปอีก 20 ปีตามยุทธศาสตร์ชาติ ที่ผ่านมาถ้าประชาชนอยู่ดีกินดี ค้าขายคล่อง เวทีนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมี แต่ 5 ปีที่ผ่านมาพืชผลการเกษตรราคาตกทุกตัว การเลือกตั้งคราวนี้คือการทำให้ประเทศไปสู่หลักการที่ถูกต้อง มีรัฐบาลที่ฟังเสียงจากประชาชนมาแก้ปัญหาให้ประชาชน รัฐบาลปัจจุบันไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่มี ส.ส. ในพื้นที่ มีแต่ สนช. ที่ พล.อ.ประยุทธ์ เลือกมางบประมาณของประเทศในแต่ละปีผ่านด้วยเวลาไปถึง 3 ชั่วโมง

เมื่อก่อนมีปัญหาก็ไปร้องเรียนกับผู้แทนประชาชน ถ้าไม่ดูแลสมัยหน้าไม่เลือก ผู้แทนก็กลัวต้องรีบแก้ แต่สมัยนี้ทำแบบนั้นไม่ได้ ไม่รู้จะไปร้องทุกข์ที่ไหน แล้วถ้าไปนายกรัฐมนตรีจะอารมณ์ดีหรือไม่ก็ไม่รู้ ดังนั้นผู้ที่จะไปออกกฎหมายต้องมาจากตัวแทนประชาชน เลือกตั้งครั้งนี้ตนจะไม่กาคะแนนให้เผด็จการแต่จะเลือกฝั่งประชาธิปไตย รัฐบาลชุดนี้พอใกล้เลือกตั้งก็ประกาศจะแก้ปัญหาโน่นนี่

แต่ตนตั้งคำถามว่าแล้วที่มา 4-5 ปีที่ผ่านมาทำไมไม่แก้ปัญหา และการสร้างรากฐานประชาธิปไตยก็ไม่ได้สร้างมาจากรอยล้อรถถัง ที่ผ่านมานักการเมืองหลายคนร่วมฝ่าฟันมาพร้อมกันกับตน แต่ก็ย้ายไปอยู่กับฝ่ายเผด็จการ แต่หลายคนก็ยังยืนยันที่จะสู้ด้วยกันต่อไป และถือเป็นการวัดใจนักการเมืองและวัดใจประชาชน ถ้าหากการเลือกตั้งครั้งนี้ฝ่ายประชาธิปไตยชนะการเลือกตั้ง ส.ว. ก็จะต้องฟังเสียงของประชาชน

หลังจากนั้น ‘กลุ่มก้าวต่อไปเพื่อประชาธิปไตย’ ปราศรัยอีก 2 เวทีที่อำเภอธวัชบุรี และวัดป่าทรงธรรม อำเภอเมืองร้อยเอ็ด ส่วนในวันพรุ่งนี้จะเดินทางไปปราศรัยที่อำเภอหนองบุญมาก จังหวัดนครราชสีมา เวลา 17.00 น. และวันศุกร์ที่ 15 มีนาคมจะเดินทางไปปราศรัยที่ศาลากลาง จังหวัดฉะเชิงเทรา เวลา 17.00 น.


ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน