‘เฌอเบลล์-ลัลณ์ลลิน’ ฉุน! คอมเมนต์สักต้นขาเสียซิง ลั่นเสียเงิน-ไม่ได้เสียตัว
วันที่ 31 ส.ค. ที่ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ เฌอเบลล์-ลัลณ์ลลิน เตจะสา เวศซ์ ดาราสาว มาร่วมงาน Beauty Reimagined with Shiseido Makeup จากนั้นได้ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องใส่ชุดว่ายน้ำโชว์เซ็กซี่ถี่ พร้อมแจงประเด็นชาวเน็ตคอมเมนต์สักต้นขาเสียซิงแล้วหรือเปล่า
โดย เฌอเบลล์ เผยว่า “เซ็กซี่ถี่ๆ โสดแล้วทำอะไรก็ได้ ไปทะเลต้องใส่ชุดว่ายน้ำ คืออยากให้สาวๆ ได้รู้ อยากเป็นอีกหนึ่งเสียงเวลาไปทะเล ไม่ต้องห่วงว่าจะอ้วน ผอม หรือไม่สวย คือเอาที่เรามีความสุขดีกว่า ดีกว่าใส่เสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์ลงน้ำ เพราะกางเกงยีนส์มันหนัก”
มีคนจับผิดเรื่องเราขาลายก้นลาย “เป็นค่ะ คือถ้าดูจากข้างหน้าจะไม่เห็น แต่ถ้าบิดข้างหรือหันก้นข้างหลังให้ดูก็จะเป็นลายทางแผนที่ ถามว่ามันทำให้เสียความมั่นใจมั้ย เมื่อก่อนเคยคิดอย่างนั้น จนเราออกมาพูดเอง เพราะเราก็เห็นฝรั่งเขาใส่กัน คนที่ขาไม่ลายอาจจะเป็นสักสิบเปอร์เซ็นของคนบนโลกด้วยซ้ำ ฉะนั้น 80-90 เปอร์เซ็น คนที่ขาลายเขาก็ยังใส่ชุดว่ายน้ำปกติ รู้สึกมีความมั่นใจและแฮปปี้ ส่วนนี้เราควรเก็บไว้ ให้คนไทยทำเถอะมันไม่ได้แย่”
อะไรจุดประกายให้เรากล้าโชว์ขาลาย “ไม่ใช่ว่าคนทุกคนจะสมบูรณ์แบบ ต่อให้สวยที่สุดในโลกนี้ ก็อาจจะไม่เพอร์เฟ็กต์ที่สุด อาจจะมีสักข้อที่มีปัญหา เลยไม่อยากให้คนมานั่งอาย โน่นไม่ใส่นี่ไม่ใส่ เรามีชีวิตจะตายวันไหนไม่รู้ ทำไมไม่ใช้ให้มีความสุข แต่งตัวให้มีความสุขที่สุด”
เห็นรอยสักที่ต้นขาตำแหน่งค่อนข้างสูงพอสมควร “มันก็เป็นระดับที่เรากะว่า ถ้าเราถ่ายละครมันก็จะไม่เห็น เวลาเราใส่เกาะอก กางเกงขาสั้น มันจะไม่เห็น แต่ชุดว่ายน้ำยังไงก็ต้องเห็น เราคิดว่ามันไม่สามารถปกปิดได้ทั้งชีวิตอยู่แล้ว เราเลยเป็นคนเปิดเองดีกว่า ไปถ่ายแบบแล้วนิตยสารไม่รีทัชให้จนเป็นประเด็น มันอาจจะเป็นเรื่องใหญ่กว่านี้ ก็เปิดเองดีกว่าค่ะ”
สักมานานหรือยัง “นานแล้วค่ะ ประมาณ 2-3 ปีกว่า เป็นคำว่า “I got what i choose” เป็นคติประจำตัวเองว่า ไม่ว่าสิ่งที่เราเลือกกระทำในวงการบันเทิง หรือในชีวิตจริง ไม่ว่ามันจะดีหรือไม่ดี เพื่อเตือนตัวเองไว้ว่าเป็นสิ่งที่เราเลือกแล้ว”
ทำไมต้องสักตรงจุดนั้น “เราเป็นนักแสดงและประเทศไทยยังไม่ได้เปิดหรือยอมรับในเรื่องการสักขนาดนั้น ถ้าเกิดยอมรับแล้วเราก็คงสักไปเยอะแล้ว แต่บางคนก็ยังเรียกเราว่าเป็นนางเอกอยู่ เราก็ไม่สามารถที่จะสักได้ บางคนยังมีอคติกับเรื้องนี้ คือเราชอบของเรา มีความสุขของเรา สักในสิ่งที่ไม่มีผลกระทบต่องาน ถามว่ามีสักตรงจุดอื่นอีกมั้ย มีค่ะ ทั้งร่างกายมีประมาณ 5-6 ที่ มีฝ่าเท้า, สะโพกสองข้าง, ใต้ราวนม และที่ข้อมือเป็นสักขาว คือสักไว้นานแล้ว ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใส่บิกินี่เป็นสายสปาเก็ตตี้ก็แทบจะไม่เห็นเลย”
แต่รอยสักที่ต้นขาดันมีดราม่า “เราเคยถ่ายลงบ้างแล้วในจุดอื่น คนก็เห็นไปแล้ว แต่ดราม่าอันนี้ก็นะ คนที่ถามว่าเสียซิงหรือเปล่าสักตรงนี้ คือฮัลโหล(ลากเสียง) มันสักข้างๆ จับแค่ข้างๆ ไม่ได้มาถึงตรงโหนก หรือไม่ได้มาล้วงข้างในที่จะเสียซิงได้ คนที่ถามเนี่ยเรียนไม่เก่งแน่ๆ เลย ต้องไปหาความรู้เพิ่ม ถามว่าเฟลมั้ยคนทักแบบนี้ ไม่เฟล แต่รู้สึกว่ากล้าพิมพ์เนอะ ประจานตัวเองเลย จะพิมพ์ขึ้นมามันน่าเกลียดมากกับความคิดตรงนี้ คิดแย่มาก คิดได้แค่นี้เหรอ คือคนเราจะชอบอะไรบางอย่างมันชอบด้วยใจบริสุทธิ์ คือสักตรงไหนก็ต้องเสียซิงเหรอ เขาจ่ายเงินเพื่อจะสัก ไม่ได้เสียตัวเพื่อจะสัก”
ตรงต้นขาคนที่จะสักอาจจะต้องใจกล้านิดนึง “ไม่ใช่ว่าตรงนี้ใจกล้าสุด คือคำว่าใจกล้าต้องเป็นจุดที่เจ็บมาก แล้วเราก็ไม่ได้ถอดออกให้เขาหมด ยังไงบริเวณที่สักมันก็แค่ขา มีผ้าปิด และเป็นช่างสักประจำ ถามว่าคิดจะสักเพิ่มอีกมั้ย ถ้ามีโอกาสก็เรื่อยๆ เพราะชอบมาก ถ้าไม่ติดว่าเป็นดาราอาจจะทั้งแขนหรือขา ข้างนึงคงไปหมดแล้วค่ะ แต่ด้วยงานเราต้องทำตามหน้าที่ วันนึงถ้าเลิกทำงานก็อาจจะมีแบบนั้นได้ แต่ตอนนี้ยังไม่คิดสักเพิ่ม เพราะรอยสักในร่างกายเราคิดเองหมด ออกแบบเองหมด อยากให้คิดในแง่บวกค่ะ”
รูปจากอินสตาแกรม @cheri.belle