ตื่นเต้น โบว์ รับละคร คุยกับ ปอ จะทำเต็มที่ จุก มะลิ ถามถึงพ่อ พร้อมบอกความจริง

โบว์-แวนดา สหวงษ์ ภรรยาคนสวย ของอดีตพระเอกผู้ล่วงลับ ปอ-ทฤษฎี สหวงษ์ มาร่วมงานแถลงข่าว CLUB FRIDAY THE SERIES 11 รักที่ไม่ได้ออกอากาศ จากนั้นได้ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องรับงานแสดงละครครั้งแรก โดย โบว์ เผยว่า “ตื่นเต้นค่ะ แล้วก็กำลังงงๆ ว่าพี่ฉอดกับพี่เอสเล็งเห็นอะไรของเราอยู่ เรายังไม่มั่นใจไง แต่พอพี่ฉอดพี่เอสมีความมั่นใจในตัวเราก็เลยมีความรู้สึกว่า เราก็ต้องมั่นใจและอย่ากลัว”

ได้ถามไหมว่าทำไมต้องเป็นโบว์ “ยังไม่ได้คุยกัน แต่ว่ามีคนบอกให้ฟังว่าพอเห็นบทแล้ว พี่ฉอดกับพี่เอสก็นึกถึงเราเลย ด้วยความที่เราเคยทำงานเป็นผู้ประกาศข่าวด้วย รวมถึงอะไรหลายๆ อย่างที่มันต้องปิดในความเป็นเราด้วย คงจะมีอะไรคล้ายๆ กัน”

พิจารณานานไหมกว่าจะตกลงรับเล่น “อ่านบทแล้วไม่นาน ก็ยังบอกให้พี่ปูโทรไปถามทีมงานว่านี่คือเรื่องจริงใช่มั้ย ของคนที่เขาอยู่ในสังคม เขาบอกว่าเป็นเรื่องจริง คนคู่นี้ก็ยังอยู่ เรามีความรู้สึกว่า มันมีด้วยเหรอบนโลกใบนี้ที่มีความรักแบบนี้จริงๆ เกิดขึ้น ก็เลยอยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการที่อยากจะถ่ายทอดความรักดีๆ ที่มันหายาก”

ด้วยความไม่เคยเล่นละครมาก่อน เราต้องเตรียมตัวยังไง เพราะนักแสดงแต่ละคนก็มากฝีมือทั้งนั้น “โบว์เป็นคนเดียวเลยมั้ง เมื่อกี้ได้เจอ โอม-อัชชา และ แนน-ชลิตา ก็เลยบอกว่า ฝากตัวก่อนเลยว่า บอกได้เลยว่าเราก็ไม่รู้ว่าการเล่นละครมันต้องอะไรยังไง ขอโทษก่อนเลยถ้าสมมติว่าทำให้ทีมงาน หรือว่าอะไรมันช้าเพราะเรา แต่ก็บอกเขาว่าจะตั้งใจ เริ่มถ่ายประมาณเดือนเมษายน ออนแอร์ก็น่าจะประมาณกรกฎาคมค่ะ”

ต้องเรียนการแสดงเพิ่มไหม “เนี่ยเดี๋ยวใกล้ๆ อาจจะมีนัดได้คุยกัน ถามว่าตื่นเต้นขนาดไหน ตื่นเต้น(หัวเราะ) มันเป็นความกลัวมากกว่าตื่นเต้น เพราะหลายๆ อย่างที่มันเกิดกับชีวิตเราหลังจากพี่ปอไม่อยู่มันก็มีความตื่นเต้นในทุกๆ วันอยู่แล้ว เราจะเจออะไรที่ไม่เคยเจอ ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งนึงที่เป็นประสบการณ์ที่เราไม่เคยได้ทำ แล้วก็ไม่คิดว่าอายุประมาณนี้แล้วเราจะได้รับโอกาสแบบนี้ ก็เลยรู้สึกว่ากลัวมากกว่า กลัวว่าเราจะทำไม่ได้ กลัวว่าเราจะทำให้นักแสดงท่านอื่นเสียเวลา แต่ทุกคนวันนี้ได้เจอก็ให้กำลังใจว่าทำได้ เราต้องบอกตัวเองว่าทำได้”

เห็นบทแล้วเครียดไหม “เครียดเลย มาเรื่องแรกก็หนักหนาสาหัสมาก เป็นบทเศร้าซะส่วนใหญ่ เป็นทั้งติดเชื้อHIV โดนข่มขืน มันก็เป็นอะไรที่ท้าทายในความเป็นชีวิตของเรา เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เล่น ได้เจอกับบทที่หนักขนาดนี้”

เป็นการสานฝันตัวเองที่เคยอยากเป็นนางเอกด้วย “เอาจริงๆ เด็กๆ ทุกคนก็อยากเป็นพระเอก-นางเอก อยากเป็นดารา แต่ช่วงนั้นมันก็จะได้เป็น ก็ไม่ได้เป็น แล้วก็หมดความฝันไปตั้งแต่อายุ 20 ปีปลายๆ เรารู้สึกว่าชีวิตไม่ได้มาสัมผัสอะไรแบบนี้หรอก พอใกล้จะอายุ 40 ปี อยู่ๆ ทางทีมงานคลับฟรายเดย์โทรมา เห้ย! มันจริงเหรอ ดันได้บทที่มันเป็นคนดำเนินเรื่อง ก็เลยดีใจมากกว่า”








Advertisement
โบว์ แวนดา

โบว์ แวนดา

ก่อนหน้านี้เราก็พยายามจะเข้ามาทำงานในวงการอยู่แล้วใช่ไหม “แต่ก่อนยุค 90 (หัวเราะ) พวกงานถ่ายเอ็มวีเราก็เคยผ่านมา ถามว่ามันติดตรงไหน เราไปเจอประสบการณ์มีคนอยากดันเรานะ แต่ต้องแรกกัน เราเคยเจอกับที่ที่นึงค่อนข้างจะมีชื่อเสียง โบว์เจอกับตัว ไปแคสแล้วเขาจะเซ็นสัญญาแล้ว เขาเรียกเข้าห้องก่อนแล้วบอกว่า เห้ย! แลกกัน แค่ครั้งเดียว เราก็เลยร้องไห้ มีนักแสดงท่านนึงจับมือไว้แล้วบอกว่าเป็นอะไร เราก็เล่าให้ฟัง เขาก็บอกกลับไปเรียนหนังสือซะ เขาพูดอย่างนี้ตอนเราอยู่ ม.ปลาย”

เรื่องนี้ก็เหมือนได้ย้อนกลับไปเมื่อตอนนั้น “คล้ายๆ หลายอย่างเรายังงงเลย อยู่ๆ บทมันก็ใกล้เคียง ทั้งๆ ก็ไม่เคยคุยกับพี่ฉอดคุณเอสเลย ถามว่ากลัวติดใจงานแสดงมั้ย เอาว่าให้ผ่านเรื่องแรกไปก่อน แล้วหลังจากนั้นจะโดนชมหรือโดนด่า ถ้าก้าวขาไปแล้วก้าวนึง สมมติสามารถก้าวต่อได้โบว์ก็จะก้าวต่อ เราก็ไม่ได้ปิดกั้นชีวิต มันคือประสบการณ์และเป็นอีกหนึ่งงานที่สามารถทำให้เราดูแลครอบครัวได้ สมมติก้าวไปแล้วมันไม่ได้จริงๆ ก็ถอยกลับมาอยู่ที่เดิมของเราแค่นั้น”

เรามีความมั่นใจไหม “มั่นใจไม่มีเลย แต่ตั้งใจมากกว่า ความพยายามเรามี อย่างที่บอกไปจะทำให้เต็มที่ที่สุด ผลที่ออกมาจะได้ไม่ได้เราก็ต้องพิจารณาตัวเองแล้ว ว่าควรจะต่อหรือจะหยุด”

ได้มีบอก ปอ-ทฤษฎี ไหมว่าเราจะเล่นละครนะพอรับโทรศัพท์เสร็จก็เดินไปที่รูปพี่ปอเลย แล้วก็บอกว่า ปอ โบว์จะทำให้ได้ โอกาสมาในชีวิตแล้ว ก็จะพยายามทำทุกโอกาสที่เข้ามาในชีวิตให้เต็มที่ที่สุด เพราะว่าพอไม่มีปอชีวิตโบว์ก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง อะไรที่มาแบบไม่คาดฝัน เราก็ผ่านมันมาได้แล้ว และนี่เป็นอีกครั้งนึงที่เราจะผ่านให้ได้ ด้วยความตั้งใจและความพยายามของเรา”

ตอนปออยู่เขาเคยเล่าถึงเทคนิคในการแสดงให้ฟังไหม “ไม่เคยเลย (ยิ้ม) พอกลับบ้านจะไม่พูดถึงเรื่องการทำงาน เราก็จะอยู่ในโหมดแม่บ้าน ก็คือให้เขาหายเหนื่อย เราจะไม่พูดว่าเขาทำอะไรยังไงมาบ้าง เขาก็ไม่ได้มาเล่าอะไร”

ถามถึงเรื่องคลิปล่าสุดที่มะลิถามถึงพ่อ “ช่วงนี้ถามทุกวันค่ะ วันนั้นที่โบว์อัดคลิปที่เขาพูด คือกำลังสตาร์ทรถไปส่งเขาที่โรงเรียน เขาก็บ่นข้างหลังอยู่คนเดียว โบว์ก็ถามว่ามะลิพูดอะไร พอเขาเริ่มพูดโบว์เลยหยิบโทรศัพท์มาแอบถ่าย เขาก็บอกว่าทำไมหนูไม่มีพ่อ คือเขาเพิ่งกลับมาจากบุรีรัมย์ แล้วก็ไปอยู่กับครอบครัวของน้องชายพี่ปอ เขาก็จะซึมซับกันทุกวัน ด้วยความสงสัยของเด็กเขาก็บอกว่า หนูอยากเป็นแบบ ปลาวาฬ ที่มีอาป๊อบกับอาเบนซ์ นั่งรถไปก็มี อาป๊อบขับรถ มีอาเบนซ์นั่งข้างหน้า ปลาวาฬนั่งข้างหลัง หนูก็อยากให้พ่อมาขับรถคันนี้ แล้วให้แม่นั่งข้างๆ แล้วหนูก็อยู่ข้างหลัง แล้วเราก็ขับไปเที่ยวกัน

“เราก็บอกว่าหนูก็มี แต่หนูยังเจอพ่อไม่ได้ ตอนนั้นเราก็จุก เราก็ไม่รู้จะพูดยังไงกับลูก แล้วเขาก็บอกว่าหนูอยากให้พ่อกลับมาจริงๆ แล้ว ก็คิดว่าอีก 1-2 เดือนโบว์จะบอกแล้วค่ะ จริงๆ โบว์กะว่าจะรอให้เขาอายุสัก 6 ขวบ แต่โบว์ว่าไม่เอาดีกว่า อยากให้เขาได้ซึมซับกับการเรียนรู้ความจริงตั้งแต่เด็ก เพราะโตไปมากกว่านี้ก็กลัวว่าเขาจะเริ่มรับรู้ความรู้สึกทุกอย่าง แล้วพอรู้จริงๆ เขาจะเสียใจหนักมากกว่านี้

 

ดูโพสต์นี้บน Instagram

 

“แต่ตอนนี้หนูอยากให้พ่อปอกลับมาบ้านของหนูแล้ว” จุกหัวใจแต่เช้า ใกล้แล้ว @portid

โพสต์ที่แชร์โดย Vanda Sahawong (@vanda29) เมื่อ

วางแผนที่จะสื่อสารกับน้องอย่างไรก็พยายามบอกเขาก่อนว่า พ่อหนูเป็นใคร คุณพ่อทำอะไรไว้บ้าง และวินาทีสุดท้ายเราก็ยังได้อยู่กับคุณพ่อ โบว์ว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ต้องเรียนรู้อะไรแบบนี้ กับความรู้สึกสูญเสีย แต่อยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็วแค่นั้น โบว์มองข้ามสเต็ปไปค่ะ คือมะลิน่ะเสียใจอยู่แล้ว

แต่สิ่งที่โบว์ให้ความสำคัญก็คือหลังจากที่มะลิเสียใจ โบว์ต้องทำยังไงกับลูกบ้าง จะทำให้ลูกหายเสียใจยังไง ทุกวันนี้โบว์ก็จะพยายามบอกลูกว่า ถ้าคุณพ่อไม่อยู่ แล้วคิดถึงพ่อก็ให้ยิ้ม อย่าหัวเราะ เพราะถ้าหนูหัวเราะพ่อก็จะรู้สึกไม่ดี แล้วคุณพ่อก็สอนให้แม่ยิ้มตลอด คือไม่อยากให้เขาเสียใจ แต่โบว์มั่นใจว่าด้วยความเป็นมะลิทุกวันนี้ โบว์มั่นใจว่าเขารับได้และเขาต้องผ่านได้ค่ะ

อินสตาแกรม @vanda29

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน