อ้น สราวุธ ย้อนเล่ามรสุมคลิปหลุด เคยคิดกินยาฆ่าตัวตาย-ออกจากวงการบันเทิง

ถือเป็นอีกหนึ่งนักแสดงมากความสามารถที่ตอนนี้โดนผลกระทบกับโควิด-19 ไปเต็มๆ สำหรับ หนุ่ม อ้น สราวุธ เมื่อเจ้าตัวต้องหยุดถ่ายละครถึง 4 เรื่อง ปัจจุบันต้องใช้เงินเก็บ อีกทั้งดาราหนุ่มยังได้ย้อนเล่าถึงมรสุมชีวิตที่ทำให้ตัวเองนั้นเกือบคิดสั้นกินยาฆ่าตัวตาย ผ่านทางรายการ คุยแซ่บShow ทางช่อง ONE31 ที่มี พีเค ปิยะวัฒน์ และ ชมพู่ ก่อนบ่าย เป็นพิธีกร

กดติดตามไลน์ ข่าวสด official account ได้ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

ช่วงโควิด-19มีผลกระทบอะไรบ้าง?

“หยุดทำงานมา 1 เดือน ไม่ได้ถ่ายละคร ซึ่งตอนนี้ถ่ายอยู่ 4 เรื่อง ต้องวางแผนในการใช้จ่าย เพราะว่าคุยกับพี่กบ ผู้จัดการ ทุกวันนี้เราใช้เงินเก็บเท่าที่เรามีอยู่ พอดีว่าในชีวิตผมเรื่องที่หนักๆ ก็คือเรื่องผ่อนบ้าน ซึ่งผมกำลังคุยกับธนาคารอยู่ว่าให้ลดการผ่อนบ้านให้ผม เพื่อให้ผมมีเงินเซฟในระยะยาวมากขึ้น แต่ผมก็ไม่อะไร เพราะคนลำบากกว่าผมมีเยอะมาก”

เห็นว่าซื้อต้นไม้ต้นหนึ่ง 2 แสนเลยเหรอ?

“ไม่ได้ถึงขนาดนั้น คือที่บ้านรู้ว่าอ้นจะไม่จ่ายเงินกับอะไร แต่เมื่อไหร่ทำบ้านแล้วต้องซื้อต้นไม้จะยอมอด หรือยอมเจียดเงินก้อนแล้วซื้อต้นไม้ใหญ่แบบโอบได้เลย เรารู้ว่าความสุขเราอยู่ตรงนั้น แล้วก็ให้กับมัน โดยที่เรารู้ว่าความสุขเราไม่ได้อยู่กับแบรนด์เนม ไปปาร์ตี้ข้างนอก คือเรารู้ว่าความสุขเราอยู่ตรงไหน ต้นไม้แพงสุดที่ผมเคยซื้อคือ 45,000 บาท

ช่วงนี้เห็นเล่น TikTok แต่ก็มีคนมาคอมเมนต์จี้ใจดำ?

“มันไม่ได้เหมือนจี้ใจดำ แต่เป็นคอมเมนต์ที่อ่านแล้วเห้อ…ทำไมคนเราวนเวียนอยู่กับเรื่องเดิมๆ ที่เราผ่านมันไปนานแล้ว มันเหมือนได้ศึกษามนุษย์ว่าทำไมเขายังสนุกกับเรื่องบางเรื่อง เขาจะรู้มั้ยเรื่องที่เขาคุยเล่น เราเคยเอาชีวิตเราเข้าไปเสี่ยงจนวันนี้เราอาจจะเป็นศพไปแล้ว หรือเป็นวิญญาณไปแล้ว เขายังสนุกมั้ยถ้าเขาหัวเราะอยู่บนวิญญาณหรือศพของเรา ถ้าเราผ่านมันมาไม่ได้ เพราะว่ามันเกือบเอาชีวิตเราไปในช่วงเวลาที่เราท้อแท้ หรือแย่ที่สุดในชีวิตไปแล้ว”

สมัยก่อนมีอยู่ครั้งหนึ่งที่คลิปคุณหลุด แล้วมันทำอะไรไม่ได้เลย ตอนนั้นเป็นยังไงบ้าง?

“ในช่วงเวลานั้นก็มีกระแสของคนอื่นอยู่ก่อนบ้าง แต่ด้วยความที่เรารู้สึกว่ามันออกมาแล้ว มันเป็นสิ่งที่ยากมากที่จะปฏิเสธ แล้วเรารู้จักพี่ๆ นักข่าวคนกันเอง แล้วเขาก็รู้ว่าเป็นเรา แล้วเรารู้สึกว่าอยากจบปัญหานั้นด้วยการยอมรับมันซะ แล้วก็เผชิญหน้ากับมันด้วยตัวของเราเอง แล้วก็แถลงข่าว”

“แต่วันก่อนที่จะถึงวันแถลงข่าว เราก็ช้ำกับมันอยู่ 4 วัน เรานอนกอดพระพุทธรูปร้องไห้กับมันอยู่ 4 วันว่ามันคืออะไร มันเหมือนกับทุกอย่างในความคิดมันพังว่าเราเข้าวงการสิ่งที่เราอยากทำ คือเราอยากมาแสดง อยากอยู่กับศิลปะ เราไม่ได้เข้ามาเพื่อเจอเรื่องห่าเหวอะไรแบบนี้ แต่เราต้องมาเจอมัน แล้วต้องมาเผชิญกับความรังเกียจของคน”

“การมอง แววตาเหมือนกับ เห้ย…เราเป็นฆาตกรเหรอ ไปฆ่าคนเหรอ เปล่าเลย คนเราไม่เอากันเหรอ แต่เราแค่คึกคะนองในการอัดคลิปไว้ มันเป็นเรื่องของวัยหนุ่มตอนนั้น ซึ่งเราก็เจ็บกับมัน ซึ่งสุดท้ายแล้วเราก็รู้สึกว่ายอมรับเถอะ แล้วบอกตรงๆ ไม่ต้องมีการค้นคว้าอีกว่าเป็นเราเอง แล้วก็ให้มันจบเรื่องนี้ไป”

“แต่สิ่งที่มันเฮิร์ตเราคือ คนรอบๆ ตัวเรา ครอบครัว แฟน เดือดร้อน ร้องไห้เพราะมัน มันเป็นสิ่งที่ทรมานใจผมมาก เพราะว่าโดยธรรมชาติผมชอบเห็นคนมีความสุข ผมไม่ชอบให้ใครเดือดร้อน แต่เวลาเห็นคนที่เรารักเดือดร้อนร้องไห้ มันเหมือนหัวใจมันโดนกรีดด้วยมีด กรีดซ้ำๆ จนไม่ไหวแล้ว จนไม่อยากเจอคน ไม่อยากเจอครอบครัว ไม่อยากเจอผู้จัดการ ไม่อยากเจอใคร ปิดคอนโดฯ แล้วก็อยู่กับตัวเองกอดพระพุทธรูปแล้วก็ร้องไห้”

“สุดท้ายความหนักหนาที่เกิดขึ้นตอนนั้นรับไม่ไหวอีกแล้ว ฉันทำให้ใครหลายคนผิดหวังเพราะฉัน รวมทั้งแฟนคลับที่อาจจะผิดหวังหรืออะไรผมไม่รู้นะ คิดว่าคงต้องจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย”

เผยนาทีเคยคิดสั้นกินยาฆ่าตัวตาย

ถึงจุดนั้นเลยเหรอ?

“มันรู้เลยว่าการฆ่าตัวตายมันรู้สึกยังไง มันเห็นอะไร โมเมนต์อะไรมันเห็นหมดเลย วิธีฆ่าตัวตายที่คิดในตอนนั้น คือกินยาตายครับ แต่ยังไม่ได้กินครับ เพราะในโมเมนต์ที่เลือกแล้ว มันเหมือนมีเสียง แต่ไม่รู้ว่าเสียงอะไรอยู่ในหัวเรา แล้วบอกว่า อ้นถ้าฆ่าตัวตายไปแล้ว แล้วชาติหน้าต้องเกิดมาฆ่าตัวตายอีกจะเอามั้ย ผมก็ตอบสิ่งนั้นไปว่าผมไม่เอา เขาก็ถามกลับมาว่าไม่เอาแล้วทำทำไม แล้วผมก็บอกว่า แล้วจะให้ผมทำยังไง ผมไม่ไหวแล้ว ผมทนไม่ไหว สิ่งที่ได้ยินกลับมาจากสิ่งนั้นคือต้องอดทน มันเป็นเสียงที่สงบแล้วนุ่มมาก ผมก็เลยกัดฟัน อดทนมา”

แล้วก็ไปออกสื่อเลย?

“ใช่ผมเองแล้วขอร้องให้จบมันซะ หัวใจผมขาดลงวันนั้น อ้นคนเดิมก็ขาดลงวันนั้น แล้วก็ไปพึ่งพระพุทธศาสนาแล้วก็ไปบวชแล้วก็ทบทวนชีวิต ประคับประคองเรียนรู้หลายๆ อย่าง”

กำลังใจแรกจริงๆ มาจากใคร?

“จริงๆ แล้วเป็นครอบครัวกับผู้จัดการ และคนที่รักเรา แฟนๆ ผมเป็น อ้น สราวุธ ที่เข้ามาในวงการนี้แบบใสมาก เดินเข้ามาแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แล้วก็แบกถาดของความหวัง แล้วทุกคนก็เอาความหวังดีๆ เป็นแก้วใสๆ มาวางไว้บนถาด แล้วอยู่ดีๆ ผมสะดุดแล้วแก้วพังแบบเละเทะ แล้วผมแบบช็อก ผมทำผิดพลาด มันเป็นความรู้สึกแบบนี้”

“แต่หลังจากนั้นพอเริ่มเรียนรู้ชีวิต มันก็ทำให้เห็นว่าชีวิตคนก็แบบนี้ มียิ้ม มีสุข แต่มันเป็นแบบนั้นตลอดเวลาไม่ได้ เรื่องเหี้ยๆ มันก็ผ่านมาในชีวิตได้เหมือนกันแล้วเรื่องเหี้ยๆ มันชอบผ่านมาตอนที่เราไม่ตั้งหลักด้วย เพราะฉะนั้น มึงจงตั้งหลักซะตลอดเวลาของชีวิต”

ช่วงเวลานั้นมีคำไหนไหมที่น้ำตาร่วงเลย ไม่ว่าจะเป็นกำลังใจหรือคำกระแสก็ตาม?

“มีหลายคำเลย ใน Tiktok ก็ยังมี ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมน้ำตาไหลนะ เพราะว่ามันเกือบฆ่าผมตาย แต่ตอนนี้ผมจะมองมันแบบน้องๆ จะรู้มั้ยว่ากำลังเล่นกับความทุกข์ของคนอื่น น้องๆ อาจจะไม่คิดอะไรเลย แต่ถ้าเกิดน้องกำลังเล่นอยู่กับโลงศพของผู้ชายคนหนึ่งน้องจะรู้สึกอะไรมั้ย ในคำถามเดียวกัน คนในวงการก็ทำแบบเดียวกัน ครอบครัวผมเดือดร้อน ร้องไห้ ตัวผมเองโดนทำร้ายผมโอเคนะ แต่คนที่ผมรักโดนทำร้าย ผมยอมไม่ได้ ผมรับไม่ไหว”

ถ้าตอนนั้นเราเลือกที่จะไม่รับแล้วเงียบไปได้ไหม?

“ผมจะโดนขุดคุ้ย มันเป็นวิถีของข่าว หน้ามึงอะ แล้วมันก็จะไปอีกยาวนาน ผมประชุมกับผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็เลือกให้ผมแบบเลี่ยงมั้ย แต่ผมบอกว่าผมขอเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดนี้ด้วยตัวเอง ถ้าเกิดมันจะต้องออกจากวงการนี้ หรือผมตาย ผมขอตายคนเดียว แล้วผมขอให้ทุกคนอยู่รอด ผมก็เผชิญหน้า แล้วบอกว่าเป็นผมเอง”

“แล้วผมก็กราบขอให้ทุกคนหยุดเรื่องนี้ซะ ผมไม่อยากให้ครอบครัวผมเจ็บอีกแล้ว หรือว่าแฟนผมต้องเจ็บ หรือว่าแฟนคลับผมต้องเจ็บ แล้วมันก็เป็นอย่างนั้น พี่ๆ นักข่าว ผมขอบคุณตรงนี้อีกทีนะที่วันนั้นทุกคนให้ใจผมมาก ไม่มีคำถามอะไรแม้แต่นิดเดียว”

ตอนนั้นทำโทรศัพท์หาย?

“ใช่ครับ เป็นความคึกคะนองที่ผมถ่ายรูปที่ผมมีอะไรกับผู้หญิงคนหนึ่งเอาไว้ แล้วผมทำหล่นในแท็กซี่ แล้วคงมีคนเก็บได้แล้วเอาไปขาย คำถามคือทำไมผู้ถูกกระทำถึงโดนปู้ยี้ปู้ยำในชีวิต แล้วขโมยถึงลอยนวล ตอนนั้นโกรธมาก มันเป็นคำถามว่าอะไรอะ เพราะเราเป็นคนในวงการเหรอถึงโดนขยี้ยังไงก็ได้ ทำอะไรกับเราก็ได้”

“แต่พอเข้าไปในวัด ไปสวดมนต์ ไหว้พระ น้ำตามันไหลในผ้าเหลืองเลย บอกว่าผมคงทำอะไรไว้ในชาติไหนก็แล้วแต่ ผมขออนุโมทนาบุญ อโหสิกรรมให้กับทุกคน เงินที่เขาขายได้จากคลิปของผมหรือชีวิตของผม ผมขอให้เขาไปเลี้ยงเมีย เลี้ยงลูกให้มีความสุข และผมขอให้ชีวิตผมมันเป็นบทเรียนของคนอื่น แล้วผมก็อดทนไม่ฆ่าตัวตาย”

บวชนานเท่าไหร่?

“ประมาณครึ่งเดือน สิ่งที่เราได้ตอนอยู่ในผ้าเหลืองคือ ชีวิตก็แบบนี้ คุณไม่ต้องไปคาดหวังกับอะไรมากเกินไป มันมีสุข แต่คุณจะเลือกแต่สุขได้หรอ มันมีทุกข์ด้วยต้องระวัง เรียนรู้จากมัน และผมจะไม่ยอมให้ชีวิตของผมถูกขยี้โดยคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวผม เพราะชีวิตของผมเป็นของผม ผมจะยิ้ม และผมจะมีความสุข ผมจะเลือกเอง ทุกวันนี้อ่านข้อความก็ยังพิจารณาชีวิตอยู่ มีทั้งกำลังใจที่ส่งมา มีทั้งคนที่ดูถูกกัน บูลลี่เรา นี่ไงชีวิต”

ตอนที่ออกจากวัดก็ยังไม่ได้ทำงานใช่ไหม?

“ยังไม่ได้ทำ เพราะผมตั้งใจจะออกจากวงการ เพราะว่าผมรู้สึกว่าผมรับไม่ไหว ไปเดินหน้าพระบรมมหาราชวัง แล้วไปกราบ รู้สึกว่าลูกคงไม่ใช่คนของที่นี่อีกแล้ว ลูกคงไม่เหมาะที่จะอยู่ในที่นี่ เจ็บมาก แต่ว่ามีคนชวนไปเรียนปริญญาโท เรียนโขน เรียนศิลปะ ซึ่งผมรู้สึกว่าผมไม่อยากอยู่ว่าง ผมไม่อยากฟุ่งซ่าน ผมก็เลยไปเรียนโท”

“กลายเป็นว่าผมได้ใช้สมาธิกับการเรียนโทได้ปีหนึ่ง ซึ่งผมได้เต็ม 4.00 มันมีความสุขมากเลย แต่พอขึ้นปี 2 กลายเป็นงานเริ่มเข้ามา จนผมไม่มีเวลาเรียน ผมคุยกับผู้จัดการ แบบไม่น่าเชื่อว่าอ้นจะกลับมาตรงนี้ได้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่รู้อะไรที่ดึงเรากลับมา แล้วก็ทำให้เราอยู่ตรงนี้”

กลับมาครั้งนี้คุณจะตัดชีวิตส่วนตัวออกจากงานเลย ทำยังไง?

“ก่อนจะพูดเรื่องนั้นข้อดีของสิ่งที่เจอมันคืออะไรรู้เปล่า เราเข้าใจการเป็นนักแสดงมาขึ้น เราไปเจอแก่นของการแสดงตอนที่เราไปเรียนกับครูเล็ก อาจารย์ว.วชิรเมธี บอกว่านักแสดงเหมือนพระสงฆ์ แสดงธรรมผ่านชีวิตของตัวละคร ผมเลยยึดแกนนั้นมาใช้ในชีวิตในการทำงานอาชีพนี้ แต่มันเหมือนยังเข้าไม่ถึง แต่พอมันผ่านเรื่องหนักๆ มาแล้ว มันเหมือนเข้าใจทุกๆ อย่างว่าเขาคิดอะไร”

จะบอกว่าเราผ่านจุดที่แย่ที่สุดมาแล้ว มันก็เลยทำให้เราเป็นนักแสดงที่ดีขึ้น?

“นักแสดงคือการแสดงเป็นมนุษย์ เคยมีคนมาพูดว่าตั้งแต่อ้นกลับมาการแสดงมันลึกล้ำ เราไม่รู้ตัวนะ เขามาบอกกับเรา มันก็แปลกดี วงการบันเทิงคืออาชีพหนึ่ง นักแสดง คนกวาดถนน แม่ค้า ตำรวจ คืองานเหมือนกัน งานแสดงมันก็คืองานรูปแบบหนึ่ง เราก็เอางานมาแลกกับความบันเทิง แลกกับเงินที่เราทุ่มเทลงไป แต่ไม่ได้แปลว่าเราเอาชีวิตของเรามากลางเป็นบุฟเฟ่ต์ราคาถูกให้คุณปู้ยี่ปู้ยำยังไงก็ได้ ไม่ใช่ เราเลือกได้”

เห็นว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งมีพิธีกรชื่อดัง 2 คน บูลลี่?

“ครับ เราไม่ใช้วิธีการของเขาดีกว่า วิธีการของเราคือปล่อยเขา เขาก็คงไม่คิดอะไรเหมือนน้องๆ หลายคนที่สนุกปากมา แต่อยากจะบอกเขาว่าบางทีคนเราหัวเราะ หรือมีความสุขบนอาชีพที่สร้างความบันเทิงบนความทุกข์ของคนอื่นเหมือนกันนะ วงการบันเทิง งานบันเทิงมีหลายวิธีมาก ไม่ใช่การขยี้เรื่องของคนอื่นที่เขามีความทุกข์แล้วมาตีแผ่เป็นความบันเทิง คุณเข้าใจคำว่าบันเทิงผิด ผมคิดว่ามนุษย์เราทุกคนมีศักดิ์ศรี ผมไม่ยอมให้ตัวเองลดศักดิ์ศรีลงมาทำในสิ่งที่ผมรู้สึกว่าเงินซื้อผมได้ในบางจุด”

แล้วตอนนี้ถ้าเกิดต้องไปร่วมงานหรือเจอคนๆ นั้นที่บูลลี่เรา เรารู้สึกยังไง?

“ที่บ้านผมไม่โอเคกับเขา แต่ผมเจอได้ ทักทายได้ แต่ไม่ให้ใจอีกแล้ว”

เหตุการณ์นั้นเราเห็นเองหรือว่ามีคนมาบอก?

“แฟนคลับบอกครับ แล้วที่บ้านโทร.มา เกิดอะไรขึ้นทำไมเขาทำอ้นแบบนี้ อ้นบอกไม่ใช่เหรอว่าคนในวงการเหมือนเป็นครอบครัว พี่น้องกัน อ้นก็อึ้งไป โอเคเราคงคิดไปคนเดียวว่าคนในวงการเป็นพี่น้องกัน งั้นก็เรียนรู้มันซะ คนไหนดีเราเก็บไว้ คนไหนไม่ได้คิดเหมือนเราก็ห่างๆ เอาไว้”

ติดตามชมรายการ คุยแซ่บShow ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา13.45-14.45 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน