ห่างกันแค่ร่างกาย! เปิ้ล หัทยา ส่งใจถึง ตั้ว ศรัณยู

ห่างกันแค่ร่างกาย -เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. ที่ วัดนาคปรก ซ.เทอดไท 49 ภาษีเจริญ มีพิธีพระราชทานเพลิงศพ (เป็นกรณีพิเศษ) ตั้ว ศรัณยู วงษ์กระจ่าง นักแสดงและผู้กำกับชื่อดัง วัย 59 ปี ซึ่งเสียชีวิตอย่างสงบด้วยโรคมะเร็งตับระยะสุดท้าย เมื่อช่วงค่ำวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา

ห่างกันแค่ร่างกาย!

เอก ธเนศ-เปิ้ล หัทยา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความเศร้าโศก โดยเฉพาะ ลูกหนุน ศุภรา และ ลูกหนัง ศีตลา ลูกสาวฝาแฝด ที่ยังคงเสียใจกับการสูญเสียคุณพ่ออย่างไม่มีวันกลับ นอกจากนี้ ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ นางเอกชื่อดัง ได้เดินทางมากราบลา ตั้ว ศรัณยู เป็นครั้งสุดท้ายตั้งแต่ช่วงบ่าย เนื่องจากไม่สามารถอยู่ร่วมพิธีในช่วงเย็นได้
ด้าน เปิ้ล หัทยา ภรรยา และ เอก ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ พี่ชาย ตั้ว ศรัณยู ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ถึงพิธีพระราชทานเพลิงศพ เป็นกรณีพิเศษ ในวันนี้
โดย เปิ้ล หัทยา กล่าวว่า “สำหรับการเตรียมงานในวันนี้ได้มีคุยกันว่าจะมีอะไรบ้าง ถ้าเกิดในเรื่องของตารางที่จะมีเราก็เตรียมไว้อยู่แล้ว แต่สำหรับใจก็…ใจหายค่ะ(เสียงสั่น) ในส่วนของพิธีพระราชทานเพลิงศพ เป็นกรณีพิเศษ วันนี้จะมีเจ้าหน้าที่เป็นตัวแทนมาทำพิธีให้ อัญเชิญกล่องไฟพระราชทาน อย่างที่บอกว่าเราซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ถือเป็นเกียรติสูงสุดของผู้วายชนม์และครอบครัว พวกเราเองก็ปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้รับ” เปิ้ล กล่าว

ที่ผ่านมาได้เห็นคนรักพี่ตั้วเยอะมากรู้สึกอย่างไรบ้าง
เปิ้ล หัทยา : “จริงๆ ต้องบอกว่าพี่ตั้วเป็นคนค่อนข้างเงียบๆ เวลาทำอะไรก็ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับโลกโซเชียลฯ แต่ว่าเขามีผลงานให้เห็น เราเชื่อว่าเมื่อเขาจากไป เราก็ได้เห็นคำอำลาคำไว้อาลัย รวมทั้งผลงานต่างๆ ที่ปรากฏอยู่หลากหลายช่องทาง ทั้งทีวี วิทยุ โลกโซเชียลฯ หรือทางเพื่อนๆ ที่โทรศัพท์เข้ามา เราก็เลยรู้สึกว่าเหมือนพี่ตั้วยังอยู่”

ในวันนี้มีทั้งอาจารย์และเพื่อนๆ มาร่วมทำการแสดงไว้อาลัยด้วย
เปิ้ล หัทยา : “อย่างพี่น้องสวนกุหลาบบอกเองว่าอยากจะมาร่วมร้องเพลง เพราะว่าเขาโตมาด้วยกันที่สวนกุหลาบ จึงอยากมาร้องเพลงให้พี่ตั้วฟัง ส่วน อ.ธนิสร์ ก็คุ้นเคยกับพี่ตั้วเป็นอย่างดี อยากมาเป่าขลุ่ย ด้าน คุณหนึ่ง จักรวาล เคยทำงานด้วยกันก็อยากที่จะมาบรรเลงเพลง รวมไปถึง พี่ตู่ นันทิดา ซึ่งเคยมาตั้งแต่ขบวนขันหมาก วันนี้ก็จะมาร้องเพลงให้พี่ตั้วได้ฟัง อยากให้บรรยากาศเป็นธรรมชาติ ถ้าร้องได้ก็ร้องไปด้วยกัน”

ถามถึงหนังสือที่ระลึกที่แจกให้ผู้มาร่วมงาน
เปิ้ล หัทยา : “ตอนที่เราคิดถึงของที่ระลึกที่จะทำให้ก็มีหลากหลายความคิดเห็นว่าจะทำอะไรกันดี แต่โดยตัวตนของพี่ตั้วเป็นคนชอบเขียนและอ่านหนังสือ แล้วก็มีความผูกพันกับหนังสือเพราะว่าทุกครั้งที่ไปต่างจังหวัดหรือไปไหน เขามักจะบอกว่าอย่าลืมเอาหนังสือเล่มที่โปรดไปด้วยนะ

เราก็มีความรู้สึกว่าจะทำหนังสือทันมั้ย ทุกคนก็บอกว่าไม่น่าจะทัน แต่ปาฏิหาริย์ก็มีจริงคือพี่ที่เคารพและเพื่อนๆ สถาปัตย์จุฬาฯ ร่วมกันระดมรูปภาพ ความคิด และบทความ โดยบอกเราว่าทันนะแต่ว่าต้องส่งทุกอย่างภายในวันเสาร์(13มิ.ย.) จากนั้นนำส่งโรงพิมพ์วันอาทิตย์ แล้วหนังสือก็มาส่งเมื่อคืนนี้(17มิ.ย.)
เพลงสู่ฝันอันยิ่งใหญ่ที่เขียนไว้หลังหนังสือนั้น เราคิดว่าพี่ตั้วเป็นคนผูกพันกับบทกวี บทเพลง เวลาที่เขาเขียนอะไรก็ตามก็จะมีความผูกพันกับกลอน เพลง และตัวหนังสือ ฉะนั้นเราเชื่อว่ารุ่นพี่ที่สถาปัตย์จุฬาฯ ที่เคารพได้เลือกแล้ว ว่าบทเพลงนี้น่าจะเป็นบทเพลงที่มีความลึกซึ้งสำหรับพี่ตั้ว”

ในส่วนข้อความที่เขียนถึงพี่ตั้วในหนังสือ
เปิ้ล หัทยา : “เวลาอยู่กันในครอบครัว เชื่อว่าทุกคนก็จะมีหลายอย่างที่พูดคุยกัน เราก็จะถามว่าอะไรที่คิดว่าสำคัญที่สุดในชีวิต บางทีเราก็อาจจะได้ยินคำว่าครอบครัวสำคัญที่สุดในชีวิต หรือบางคนคิดว่าจะได้คำตอบเป็นอย่างอื่น แต่ทุกครั้งที่ถามพี่ตั้วจะตอบว่าความรักเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต เพราะว่าเขารักงานของเขา เขาไม่เคยมีอาชีพไหนเลย

นอกจากอาชีพนักแสดงเพราะเขารักการแสดง เลยทำมันด้วยความรัก หรือว่าครอบครัวก็ตามที่เวลามันมีปัญหา หรือมีเรื่องใหญ่ๆ มันก็สามารถที่จะแก้ปัญหาได้ เรื่องใหญ่ก็กลายเป็นเรื่องเล็ก เพราะว่าเราคุยกันด้วยความรัก แม้ว่าจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันซึ่งเป็นธรรมดาของคนในครอบครัว

แต่สุดท้ายเราก็สามารถที่จะจบลงได้ เพราะเขาบอกว่าถ้าเรามีความรักเราจะค่อยๆ พูดจากัน ถ้าอยู่ในอารมณ์ก็อย่าเพิ่งคุย เลยมีความรู้สึกว่าอยากเขียนเรื่องของความรักถึงพี่ตั้ว

เราใช้เวลานานมากในการกลั่นกรอง ทั้งที่ตัวอักษรไม่เท่าไหร่ เพราะเราต้องใช้เวลาเขียนอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะส่งไปให้คนทำหนังสือ บอกเลยว่ามันยาก เพราะถ้าเกิดว่าหยดน้ำตามันออกมาเป็นน้ำหมึกหรือดินสอได้ มันก็คงจะเป็นตัวอักษรแล้ว เขียนอยู่นานมากจนหนุนกับหนังบอกว่า

ทำไมใช้เวลาเขียนนานมาก สมัยก่อนพี่ตั้วเองก็เคยชอบแซวเวลาเราเขียนอะไรทีหนึ่งว่า…ช้ามากเปิ้ล นานมากเปิ้ล คือเราอาจจะคิดมากก็ได้”

ถามถึงเพลง “ลมหายใจของกันและกัน” ที่พี่ตั้วชื่นชอบที่สุด
เปิ้ล หัทยา : “ตั้งแต่ช่วงเวลาที่พี่จิก(ประภาส)ได้เขียนเนื้อเพลงนี้ พี่ตั้วบอกว่ามันเป็นเนื้อเพลงที่สั้น แต่ความหมายมันครอบคลุมหมดเลย “อาจเป็นเพราะเราคู่กันมาแต่ชาติไหน จะรัก รักเธอตลอดไป เป็นลมหายใจของกันและกัน” ก็นั่นแหละค่ะความหมายทั้งหมด ส่วนกำหนดการลอยอังคาร เราอยากทำให้เร็วที่สุดและสมบูรณ์ที่สุด คือเราให้เวลากับเขา พรุ่งนี้เก็บอัฐิ แล้วก็อาจจะไปลอยอังคารเลย ถามว่ามองไว้ที่ไหน ที่เดียวกับคุณแม่พี่ตั้วที่สัตหีบ”

ลูกๆ ทั้งสองตอนนี้กำลังใจเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
เปิ้ล หัทยา : “น้องหนังตอนที่เขาอยู่เกาหลีเขาจะคุยกับพี่ตั้วทุกวัน แต่กับแม่เราก็จะเขียนกันทุกวัน ด้วยความเป็นลูกสาวที่เขาห่วงก็จะถามถึงทุกวันว่าเป็นยังไง บอกเลยว่าหนังอาจจะเป็นเยอะกว่าหนุน ต่อหน้าคนอื่นเขาจะยิ้ม หัวเราะ แต่พอถึงบ้านจะมีคำถามเยอะ บางมีเคยปล่อยให้คุยกับลุง ให้ลุงช่วยนิดนึง”

เมื่อถามต่อว่าเวลากลับบ้านไปแล้วรู้สึกว่างเปล่าหรือไม่ เปิ้ล หัทยา น้ำตารื้นก่อนตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า
เปิ้ล หัทยา : “มันก็แปลกๆ นะ มันยังแปลกอยู่เลย มันก็ต้องอึด ต้องบอกกับตัวเองว่าเรายังมีหนุน มีหนัง เรายังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำ ปล่อยให้เป็นธรรมชาติ ถ้าน้ำตาจะไหลก็ปล่อยให้มันไหล แล้วเดี๋ยวก็จะบอกกับตัวเองว่าต้องสู้”

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่ามีฝันถึงพี่ตั้วบ้างไหม
เปิ้ล หัทยา : “เราออกจากวัดค่อนข้างจะดึกทุกวัน นอนก็อาจจะแค่2-3 ชั่วโมง หัวถึงหมอนก็หลับ ต้องตั้งนาฬิกาปลุกให้ตื่นมาที่นี่ เลยยังไม่ได้ฝัน แต่พูดกับเขาทุกวัน ขับรถคนเดียวก็พูด พี่ตั้วเป็นยังไงบ้าง อยู่ไหนแล้ว ก็พูดไป สำหรับละครของพี่ตั้วที่ยังค้างอยู่ เราเองเคยเป็นผู้จัดฯ ที่ร่วมทำงานกันมาตั้งแต่เรื่องน้ำพุ สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย และหลังคาแดง
ระยะหลังเห็นพี่ตั้วเข้าที่แล้วเราก็แค่ติดต่อประสานงาน แล้วก็เป็นทีมพี่ตั้วทำเต็มตัว ยังไม่ได้คุยในรายละเอียดลึกๆ ว่างานที่ค้างอยู่ ละครที่ค้างอยู่ที่เหลือประมาณ 9-10 คิว แต่ก็มีปรึกษาพี่อ๊อฟ-พี่แดงว่าจะยังไง เผื่อพี่ตั้วจะมีผู้กำกับบางคนอยู่ในใจบ้าง รวมถึงได้คุยกับพี่อ๊อฟบ้าง พี่อ๊อฟเขาบอกว่าเขายินดีนะ เดี๋ยวพอเสร็จงานแล้วคงจะมานั่งคุยกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ถามว่ามีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นพี่อ๊อฟมั้ย มีความเป็นไปได้ค่ะ
ส่วนค่ายละคร อย่างที่บอกว่าเราหันมาทำสายวิทยุ เพลง คอนเสิร์ต พี่ตั้วก็ทำละครไป แต่เราเองก็ยังช่วยกัน บางทีพี่ตั้วก็ถามเพลงนี้ใครร้องดี หรือว่าตรงนี้ดาราคนไหนเปิ้ลรู้จัก ติดต่อคนนี้ให้หน่อย หลังจากนี้คงจะได้คุยกันกับทีม”

หลังจากนี้มีอะไรที่จะทำให้พี่ตั้วอีกบ้าง
เปิ้ล หัทยา : “ทุกเรื่อง ช่วงที่พี่ตั้วไม่สบาย อยู่โรงพยาบาลเราก็จะคุยกัน พี่ตั้วจะมีไอเดียมากมาย เขาเห็นเราสะสมกางเกงยีนส์เยอะมาก ชอบแต่งตัว ทำไมไม่ไลฟ์เกี่ยวกับสิ่งที่เราถนัด แล้วเขาก็จะบอกว่าปัจจุบันนี้โลกเป็นยังไง ไปถึงไหนแล้ว

มาดูตรงนี้ด้วยว่าเราจะทำอะไรที่มันสอดคล้องไปกับปัจจุบันนี้ที่มันมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น จะคุยกัน เรื่องของการทำอะไรสานต่อ เราทำให้อยู่แล้วเพราะเรามีลูกๆ หนุน-หนังก็เพิ่งจะเรียนจบ คงจะช่วยดูแลตรงนี้ แล้วก็มีพี่เอก ที่กำลังทำหนังอยู่ก็ช่วยกันทำไป”

อยากบอกอะไรพี่ตั้วเป็นครั้งสุดท้ายบ้าง
เปิ้ล หัทยา : “ทุกวันจะบอกกับพี่ตั้วว่าวันนี้เป็นวันแรกนะ วันนี้วันที่สองนะ ใครมาบ้าง ใครเป็นเจ้าภาพ คุยกันตามความรู้สึก วันนี้เจอใคร ใครฝากบอกอะไรเป็นพิเศษ คุยไปเรื่อยๆ เหมือนเขายังอยู่แต่เขาไม่ตอบเรา บอกเสมอว่าเราจากกันแค่ร่างกาย อาจจะไม่ได้มีลมหายใจของพี่ตั้ว

พี่ตั้วอยู่กับเราเสมอ ความรักยังอยู่ในหัวใจเสมอ ไม่ได้หายไปไหน จากกันเพียงกายแต่ความรักไม่เคยหายไป มีหลายอย่างที่เป็นของแทนใจพี่ตั้ว ทุกอย่างยังคงอยู่ในหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวความรัก ความผูกพัน พี่ตั้วถึงแม้เขาจะดูเป็นคนเข้มๆ แต่เขาก็มีความกุ๊กกิ๊กของเขา เราเอามาดูแล้วก็น่ารักดี ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ เป็นกลอนที่เขาเขียน”

 

ด้าน เอก ธเนศ เผยว่า “เราส่งตั้วทุกวันทุกคืน ยังเป็นความรู้สึกดีๆ ที่ส่งให้ตั้วกลับไป ในขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ว่าสิ่งดีๆ จากคนที่รักตั้วมากมายก็ส่งมาให้ผ่านเปิ้ล น้องหนุน น้องหนัง และครอบครัว รวมถึงตัวเราเอง รู้สึกว่ามันเป็นบรรยากาศแห่งสิ่งดีงามที่เกิดขึ้น”

“ส่วนผมถ้ามีอะไรจะทำให้ตั้ว ที่รู้สึกว่าต้องทำ สำคัญที่สุดคือเรื่องดูแลหลาน แล้วก็เปิ้ล มันรู้สึกได้เลยโดยอัตโนมัติ ที่นี้ก็จะมาต่อเนื่องกันว่าดูแลยังไง มันก็เห็นตั้งแต่วันแรกที่ตั้วไปแล้วว่าต้องดูแลยังไง ลุงหนูคิดถึงพ่ออีกแล้ว เราบอกว่าเมื่อคิดถึงพ่อก็บอกตัวเองต่อนะว่าฉันกำลังคิดถึงพ่ออยู่อีกแล้ว หลานก็บอกว่า เอาอีกแล้วลุง

เราก็บอกว่าเอาอย่างนี้แหละ อย่างอื่นก็ไม่ต้องไปสนใจ เราคิดถึงพ่อก็บอกกับตัวเองว่ากำลังคิดถึงพ่อ พ่อไม่มาเลย เราก็บอกพ่อไม่มาแล้ว ทำไมพ่อไม่มา อ้าว! ก็พ่อไปสบายแล้วไง ไม่ต้องมาแล้ว จะให้พ่อมาห่วงทำไม จะคุยแบบนี้ จึงรู้สึกว่าอันนี้น่าจะเป็นภารกิจหลักให้เขาค่อยๆ คลายว่าการที่พ่อไม่อยู่
การที่พ่อไม่มาหา ไม่ได้แปลว่าพ่อไม่รักหรือว่าพ่อไม่ห่วงหรือว่าอะไรไม่ดี ไม่ใช่ พ่อไม่มาดีแล้ว

เราพยายามบอกหลานแบบนี้ เพราะพ่อไม่มีอะไรต้องห่วง เพราะเราไม่น่าห่วงอะไรแล้วไง ถูกต้องมั้ย พ่อมั่นใจว่าเราดูแลตัวเองได้ ทั้งสองคนดูแลแม่ได้ คิดว่าภารกิจนี้น่าจะเป็นภารกิจหลักที่จะทำให้ตั้ว”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน