หนึ่ง มาฬิศร์ โต้ตกอับ ขายที่ดินมรดกพ่อแม่กิน แจงไม่อยากเก็บไว้ เครียดภาษีที่ดิน

จากกรณีอดีตพระเอกจักรๆ วงศ์ๆ หนึ่ง มาฬิศร์ เชยโสภณ เข้าไปโพสต์ฝากขายที่ดินมรดก 20 ล้านบาท ผ่านแฟนเพจ “มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการฝากร้าน” ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อให้ศิษย์ได้โฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้า ตลอดจนธุรกิจของตนเองในช่วงโควิด-19 ระบาด เรื่องนี้ทำให้เจ้าตัวเจอเม้าธ์แรงว่า ตกอับจนต้องเอาที่ดินมรดกพ่อแม่มาขาย จนต้องรีบออกมาโพสต์ชี้แจงอีกครั้งที่เพจเดิม

หนึ่ง มาฬิศร์

หนึ่ง มาฬิศร์

ล่าสุดวันที่ 25 ส.ค. หนึ่ง มาฬิศร์ มาเป็นพิธีกร ในงานประกาศผลรางวัล IATC Thailand Dance and Theatre Awards และให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องดังกล่าว

ถามถึงเรื่องที่โพสต์ขายที่ดินในเพจธรรมศาสตร์?

“โพสต์ขายมานานแล้ว แต่ว่าโพสต์ปากต่อปาก ช่วงปลายปีที่แล้วเริ่มไปติดป้ายที่ดินเริ่มขายจริงจัง แล้วพอปีใหม่มามันเป็นโควิด เลยกลายเป็นว่ามีเพจธรรมศาสตร์ในการฝากร้านขึ้นมา เราเข้าไปอ่านแล้วเราสนุกกับคอนเทนต์ที่น้องๆพี่ๆโพสต์ก็เลยอยากโพสต์บ้าง แต่เราไม่ได้ค้าขายอะไร เราก็เลยนึกขึ้นได้ว่าเรามีที่ดิน เอามาโพสต์ขายดีกว่า แล้วเห็นว่าทางฝั่งจุฬาเขาก็มีขายที่ดิน 300ล้าน มันก็เลยกลายเป็นว่าโพสต์ขายที่โพสต์ขำๆไป ขายได้ก็ได้ขายไม่ได้ก็แล้วแต่จังหวะของมัน”

แล้วทำไมถึงจะตัดสินใจที่จะขายที่ดิน?

“คือจริงๆที่ที่เชียงใหม่ริมแม่น้ำปิง พ่อแม่ซื้อไว้กะว่าจะไปสร้างบ้านอยู่ตอนเกษียณ แต่ท่านเสียก่อนที่จะเกษียณทั้งคู่ ผมกับน้องก็ไม่ได้คิดที่จะไปสร้างบ้านที่อยู่ในแปลงนี้ เพราะมันค่อนข้างใหญ่ มันก็อยู่ติดน้ำก็ต้องดูแลเยอะ คือถ้าทำธุรกิจมันน่าจะคุ้มกว่าเยอะ เลยคิดว่าขายเถอะ แล้วเอาเงินไปปลูกที่อีกแปลงหนึ่งที่ที่เชียงใหม่เหมือนกัน แต่ก็อยู่ไกลออกไปหน่อย ดูแลง่ายด้วย แล้วก็สะดวกกว่า”

ไม่เสียดายเหรอเพราะว่าเป็นที่ดินที่คุณพ่อคุณแม่ให้มา?

เสียดายไหมก็เสียดาย แต่สุดท้ายแล้ว ปีนี้อายุ 50 แล้ว คือเราก็ต้องวางแผนที่จะเกษียณยังไง หรือจะใช้ชีวิตในบั้นปลายชีวิตยังไงก็ต้องเลือก คือถ้าจะเก็บทุกอย่างไว้ ภาษีที่ดินปีนี้นั้น..อย่าให้พูด อันนี้คือถ้าไม่มีโควิดนี่คือแบบ ..(หัวเราะ) คือคิดว่าปล่อยแปลงนั้นไปดีกว่า แล้วก็เก็บตังค์ไปปลูกอีกที่”

กลัวไหมว่าคนจะคิดว่าขายที่ของพ่อแม่กิน?

“ก็ไม่กลัว ก็แต่ว่าความจริงก็เป็นอย่างนั้นนะ ก็คือพ่อแม่ทิ้งไว้ให้จริงๆ เป็นมรดก ก็เราไม่ได้มีลูกหลานที่จะต้องส่งต่ออยู่แล้ว เราก็ต้องดูแลตัวเอง แล้วก็เข้าใจด้วยว่ามันเป็นช่วงโควิดพอดีแล้วคนก็จะจับแพะชนแกะเอาไปเป็นประเด็น ก็เลยเฉยๆ”

แล้วหลังจากที่มีประเด็นตรงนั้นแล้วเรารู้สึกยังไงบ้าง?

“ขำครับ (หัวเราะ) เอาจริงๆขำ เพื่อนฝูงคนที่อ่านแล้วคนที่อยู่ในเพจนั้น คนที่อยู่ในตลาดธรรมศาสตร์ก็ขำ พวกรุ่นน้องนิติก็บอกว่าฟ้องเลยไหมครับพี่ แต่เราบอกว่าไม่เป็นไร ผมอยู่ตรงนี้มา 30 ปีแล้ว ผมรู้ว่าอะไรคืออะไร เรามองข้าม

ไม่มีการตอบโต้?

“คือขำมาก เคยโดนเอารูปเดียวกันที่โพสต์แล้วบอกว่าอยู่วัดพระบาทน้ำพุก็โดนมาแล้ว ก็เลยเป็นเรื่องขำไป แต่ตอนนั้นก็คิดว่าควรจะต้องปกป้องสิทธิ์อะไรของตัวเองไหม ก็ปรึกษาเพื่อนที่เป็นตำรวจทางด้านนี้ เขาก็บอกว่าก็ได้นะถ้าจะทำ แต่สุดท้ายแล้วจะไปจบที่ตรงไหน บางทีเราก็รู้สึกว่าเสียเวลาเหมือนกัน ช่างมันเถอะ”

เพราะเราเคยผ่านอะไรแบบนี้มาเราก็เลยชิน?

อย่าเรียกว่าชินดีกว่า เรียกว่าเรียนรู้ไปกับมัน ก็รู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นตราบาปที่จะถูกแปะไว้กับเราไปตลอดชีวิต เมื่อก่อนตอนเด็กๆ หากใครเข้าใจอะไรเราผิด เราก็อยากจะอธิบายให้เขารู้ว่าเราไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่พอเรายิ่งโตขึ้นอายุมากขึ้นเราก็เรียนรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร ที่จะไปนั่งอธิบายคนเข้าใจในตัวเรา มีคนรอบข้างที่รักเราและเข้าใจเราแค่นั้นก็พอแล้ว

ย้อนถามเรื่องตัวมรดกที่คุณแม่คุณพ่อทิ้งไว้ให้เราคือมีมูลราคาเท่าไหร่และขายไปยังไงบ้าง?

“คือโชคดีว่ามีพี่น้องกันแค่สองคน ทุกอย่างก็หารสองหมดทุกแปลง หมายความว่าถ้าเกิดขายไปได้ก็แบ่งกับน้อง ก็มีที่เชียงใหม่สองแปลง ที่รังสิตแปลงหนึ่ง ก็ไม่ได้เยอะมาก”

เรียกว่าถ้าเกิดขายไม่ได้เราก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร?

“ใช่ครับ แต่จะเริ่มซีเรียสว่าเริ่มมีภาษีที่ดิน มันก็ไม่ควรเก็บไว้เยอะเนาะ(หัวเราะ)”

หลังจากที่เราโพสต์ขายมีคนติดต่อมาไหม?

“มีครับ มีเยอะครับ ก็มีทั้งที่เป็นนายหน้า แล้วก็มีทั้งคนที่สนใจเองที่เชียงใหม่อยู่แล้ว แล้วก็ค่อนข้างโชคดี ที่เชียงใหม่กำลังจะมีถนนสายบายพาสตัดแม่ปิง กลายเป็นว่ามีคนเข้ามาถามว่าให้ช่วยปักหมุดให้หน่อยว่ามันอยู่ตรงไหน ที่ตรงนั้นก็เกือบเกือบแปดไร่ คืออย่างที่บอกว่ามันใหญ่เกินไปสำหรับพี่น้องสองคนที่จะไปอยู่ ก็เลยคิดว่า มีที่ดินเล็กอยู่บนเขื่อน ไปสร้างบ้านเล็กๆอยู่บนนั้นน่าจะดีกว่า”

หลายล้านเลยไหมสำหรับที่ตรงนั้น?

“แปลงที่แปดไร่ ก็หลักสิบล้าน พูดแล้วก็ขายยากหน่อย คนก็จะชอบเข้ามาถามว่าแบ่งไหม แต่ว่าผมก็บอกว่าเอาไปให้หมดเถอะ เพราะว่าเราจะได้แบ่งกันกับน้องแล้วก็ใช้ชีวิต แล้วก็วางแผนชีวิต”

ชีวิตตอนนี้ก็ยังโสด?

“ครับ โสดมาโดยตลอดเป็นคนไม่มีคู่ คุณแม่เขาก็เคยบอกว่า เป็นดวงที่ไม่มีคู่”

กลับมาฟิตหุ่นฟิตอะไรแล้ว?

“ก็ขำๆครับ แขม่วซะเยอะ มุมกล้องก็เยอะนะครับ อีกอย่างหนึ่งอายุปูนนี้แล้ว ผมไม่ได้โฟกัสตรงนั้นไปแล้ว อย่างที่บอกว่าเพื่อนผมตอนนี้แต่งงานมีลูก หลายคนก็หาทางที่จะไปอยู่ต่างจังหวัด ใช้ชีวิตช่วงนี้แหละเตรียมตัวจะเกษียณกันแล้ว”

แล้ววางแผนไว้ยังไงบ้างเพราะว่าเราก็อายุเยอะแล้ว?

“ปรากฏว่าไม่น่าเชื่อ ว่ามีเพื่อนโสดเยอะกว่าที่คิด แล้วก็เพื่อนที่แต่งงานไปแล้วกลับมาโสดก็ไม่น้อย ก็เคยคุยกันขำๆ ว่าที่แปลงเชียงใหม่ตอนแรกๆ หรือว่าเราจะมารวมกันอยู่ แล้วก็ตื่นเช้ามาสวัสดีวันจันทร์ ใครไม่ตอบก็ไปเคาะประตูดูหน่อย ก็เป็นการคุยกำขำกันไป แต่ก็มีโปรเจ็คแบบนี้ที่เชียงใหม่เกิดขึ้นหลายจุดเหมือนกัน เลยทำให้คิดว่าเอ๊ะ หรือว่าเราจะทำอะไรแบบนี้ แต่ว่าเราก็ไม่ไหวเพราะว่าเราไม่มีหัวทางด้านธุรกิจ ทำไปก็อาจจะแบบแทนที่จะมีเงินไว้ดูแลตัวเองยามแก่ กายเป็นมีหนี้ เพราะว่าเดี๋ยวนี้อะไรๆก็ไม่แน่ อยู่ๆก็มีโรคประหลาดเกิดขึ้นมา มันก็เลยทำให้คิดเยอะ”

เราไม่อยากคิดจะหาใครมาดูแลเหรอ เพราะว่าแก่ไปอาจจะป่วยเป็นโรค?

“ก็คงจะเป็นหมอและพยาบาล(หัวเราะ) เพราะเดี๋ยวนี้เขาก็จะมีคอนโดบ้านจัดสรรบ้านตากอากาศสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งก็ยังเล็งไว้อยู่ มันก็จะมีตารางในเน็ตว่า ที่นี่ที่นั่นมีอันนี้เป็นตลอดชีพจนกระทั่งเสียชีวิตหรือ อันนี้ 30 ปี อะไรแบบนี้”

แสดงว่าศึกษาอะไรแบบนี้ไปแล้ว?

“ก็ต้องเริ่มศึกษานะครับ”

กลายเป็นว่าจะหาแฟนก็มาเป็นดูเรื่องนี้แทน?

“ใช่ ปูนนี้แล้วเรื่องนี้เลิกคิดเลยครับ”

ชีวิตก็ดูแฮปปี้ไม่ซีเรียสอะไรเลย?

“จริงๆชีวิตเคยแฮปปี้กว่านี้เยอะมาก แต่ว่าที่ตอนนี้ดูแฮปปี้เพราะว่าเราก็ผ่านอะไรมาเยอะ ทำให้เกิดการเรียนรู้และเราสุขน้อยกว่าในอดีตเยอะ หมายถึงสุขทางกายต่างๆ แต่ว่ามันก็ไปโฟกัสกับเรื่องอื่นไปโฟกัสความสุข มองอะไรที่มันบวกมากขึ้น อาจจะมีเพื่อนน้อยลง แต่ก็กลายเป็นว่าเหลือเพื่อนที่เป็นกัลยาณมิตรดีกว่ามีรู้จักคนเยอะไปหมด แต่อาจจะไม่ได้จริงใจเท่าไหร่”

แล้วตอนนี้ยังรับงานอยู่ไหม?

“ใช่ครับ ทำเบื้องหลังให้กับ วุธ อัษฎาวุธ จะเป็นกัลยาณมิตรเหมือนกัน รู้จักกันมานานแล้ว ช่วงที่เราว่าง วุธก็ชวนมาทำงาน ทำงานเบื้องหลังเยอะ แล้วหากมีบทไหนที่เหมาะก็ได้เล่นด้วย ส่วนเบื้องหลังทำอะไรบ้าง ก็คือแล้วแต่เลย หากเรื่องนี้อาจจะไปโฟกัสที่นักแสดงไปเป็นแอ็กติ้งโค้ช เรื่องนี้อาจเป็นคนเขียนบท เรื่องนี้อาจจะไปอยู่ในส่วนของพีอาร์หรือไปช่วยประสานงาน ก็แล้วแต่ว่าเรื่องนั้นมันจะขาดตรงไหน แล้วแต่ว่าเขาจะต้องการไปให้ไปช่วยตรงไหน”

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน