วาววา ฝันอยากเป็นนายกรัฐมนตรี หวังพัฒนาประเทศไทย ชูไอเดียช่วยเกษตรกร

จากนางเอกพลิกมาเล่นร้ายครั้งแรก สำหรับ วาววา ณิชารีย์ โชคประจักษ์ชัด ในละคร ร้อยเล่ห์มารยา ทางช่อง 3 กับบทบาท นิ่ม หรือ ตติยา ได้รับเสียงชื่นชมฝีมือการแสดงจากคนดู ข่าวสดออนไลน์ เลยไม่พลาดมาพูดคุยกับ วาววา เธอได้เปิดใจถึงการพลิกคาแรกเตอร์สุดท้าทาย เป้าหมายชีวิต รวมถึงความฝัน โปรเจ็กต์มากมายที่อยากทำให้สำเร็จในชีวิตนี้

เรื่องนี้พลิกคาแรกเตอร์เต็มที่เลย?
“ถ่ายเรื่องนี้สนุกมากค่ะ พี่แมน ผู้กำกับฯ ให้ความเชื่อมั่นว่าเราทำได้ เขาจะคอยไกด์ว่าต้องการให้ได้อารมณ์ประมาณไหน ต้องการโมโห โกรธ อาละวาดเบอร์นี้ให้เราลองเล่น ก็ถือว่าไม่ได้ยากอย่างที่คิดเพราะตอนแรกคิดว่าเราจะทำได้มั้ย เพราะบทตัวละครนี้มันค่อนข้างเปลี่ยนแปลงเยอะตลอดเรื่อง ก็คิดว่าน่าจะทำออกมาได้ดี สำหรับตัววารู้สึกว่าเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ความมั่นใจด้วย พอเราเชื่อมั่นในตัวเอง มันก็ทำให้ทุกอย่างง่ายเพราะเรามีความมั่นใจ”

เล่นร้ายครั้งแรก?
“รู้สึกเหนื่อยกว่าการเป็นนางเอกเยอะมาก และเหนื่อยกว่าการเล่นบู๊เยอะมาก อย่างเล่นบู๊มีกระโดด ตีลังกา เตะต่อย มันเหนื่อยร่างกาย แต่เล่นร้ายมันเหนื่อยข้างในเพราะว่าเราต้องใช้อารมณ์ความรู้สึกเยอะมาก ต้องโกรธเสียใจน้อยใจเยอะ เพื่อที่จะทำให้ตัวละครสามารถแสดงกิริยาออกมาได้ข้างในมันต้องเข้มข้นมาก การที่จะโกรธใครสักคนมันต้องใช้อารมณ์ความรู้สึกเยอะมาก”

ทำการบ้านกับคาแรกเตอร์นี้อย่างไร?
“จะมีดูซีรีส์หรือการ์ตูนเป็นรีเฟอเรนซ์ เพราะเรื่องนี้มันคือความเป็นพี่น้อง วาก็มีปรึกษาพี่นก(จริยา)เหมือนกัน ถ้าดูเป็นกว้างๆฟิลเหมือน The Lion King ที่ MUFASA เป็นเจ้าป่า และตัว SKA เป็นน้องที่ไม่มีวันได้ขึ้นเป็นคิงส์ อย่างตัวละครของวา คือ ตติยา จะเป็นรองพี่เบลล่าตลอด พี่เบลล่าจะมีทุกสิ่งทุกอย่างมาตลอด เราจะรู้สึกว่าเราเป็นที่สองตลอด เป็นเงาของเขา และเรารู้ว่ายังไงก็ไม่มีวันเป็นที่หนึ่งได้ถ้ายังมีเขาอยู่ในชีวิต เพราะฉะนั้นมันเลยเป็นแรงผลักดันทำให้เราพยายามแย่งทุกสิ่งทุกอย่างมาจากเขา จนสุดท้ายถึงขั้นที่อยากฆ่าเขาเลย จะได้เห็นพัฒนาการอารมณ์ของตติยา การที่จะโกรธจะเกลียดใครมีเบื้องลึกเบื้องหลัง เราใช้ชีวิตกับเขามาตั้งแต่เด็ก เราไม่ได้มาเพิ่งโกรธเขาวันนี้แล้วจะแก้แค้นพรุ่งนี้ แต่มันคือทั้งชีวิตของคนๆหนึ่งที่มันสะสมมา มันมีความน้อยใจ มีความเสียใจ ความไม่เข้าใจของความเป็นเด็กจนโตขึ้นมาอยู่ในเงาของเขามาเรื่อยๆ จนวันหนึ่งถึงจุดที่เราทำอะไรได้มากกว่านั้น”

พี่นก จริยา บอกว่าเรื่องนี้ วาววา เตรียมตัวทัวร์ลงโดนคนดูเกลียดแน่ กังวลไหม?
“วาก็เล่นตามบทมาเรื่อยๆ ถ้าพี่นกบอกแบบนั้นสงสัยจะทัวร์ลงจริงๆ (หัวเราะ) ด้วยความที่บทเขาเขียนไว้มีเหตุมีผลของมัน ระหว่างเรื่องอาจจะเกลียดแต่ว่าพอรู้เหตุผลก็จะเข้าใจได้ว่าทำไมเขาเป็นแบบนั้น พี่เบลกับวาในเรื่องไม่ได้เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน แต่เราไม่รู้ตอนเด็กๆ เราก็เข้าใจว่าเป็นพี่น้องท้องเดียวกีน ด้วยธรรมชาติของคนลูกในไส้กับลูกนอกไส้มันก็จะปฏิบัติแตกต่าง แต่ว่าเด็กไม่รู้ เด็กก็เข้าใจว่าทำไมฉันไม่ถูกรักทั้งๆที่ฉันเป็นลูกเหมือนกัน มันก็เลยกลายเป็นปมที่ทำให้เขาโตมาเป็นแบบนี้”

มีช่วงหนึ่งที่หายไปพักใหญ่เลย?
“3 ปีนะ จริงๆไปเรียนที่นิวซีแลนด์แค่ปีเดียว พอกลับมาก็เริ่มถ่ายร้อยเล่ห์มารยา ด้วยความที่ละครถ่ายปีกว่าแล้วกว่าจะได้ออนอีกปีหนึ่งมันก็เลยค่อนข้างนาน จริงๆหายไปแค่ปีเดียวที่ไม่ได้ถ่ายละคร”

ไม่ได้จะหันหลังให้วงการใช่ไหม?
“ไม่ๆค่ะ ยังคิดว่าน่าจะอยู่อีกอย่างน้อย 5 ปี”

ไปเรียนภาษาที่นิวซีแลนด์?
“เรียนภาษาค่ะ และเรียนเต้น เรียนขี่ม้า เราก็อยากนำมาใช้ต่อยอดในอนาคต ครอบครัววาไม่ได้ส่งเรียนอินเตอร์ เราก็ไม่ได้มีโอกาสได้เรียนภาษาอังกฤษ ได้พูดภาษาอังกฤษแบบจริงจัง พอเราทำงานมาสักพักเก็บเงิน พอมีเงินเก็บส่งตัวเองเรียนพัฒนาตัวเองให้มีสกิลมากขึ้น ทำให้เรามีความสามารถเพิ่มมากขึ้น ไม่แน่ว่าการแสดงอาจจะมีบทที่ต้องพูดภาษาอังกฤษ ไม่แน่เราอาจจะได้โกอินเตอร์หรือเปล่า มันก็อยู่ที่ว่าเราจะแพลนชีวิตเรายังไง เราตั้งเป้าหมายตั้งความฝันไว้ยังไง”

แล้วตั้งเป้าหมายในชีวิตไว้อย่างไร?
“มีหลายพาร์ต เรื่องการแสดงอย่างน้อยอีก 5 ปี วาวยังอยู่ในวงการแน่นอน ด้านละครเราจะเลือกบทมากขึ้น เลือกสิ่งที่ทำแล้วมันใช่สำหรับตัวเรา การถ่ายละครเรื่องหนึ่งใช้เวลาเป็นปี ชีวิตเราในหนึ่งปีจะต้องคัดสรรมากขึ้นเพราะเราอายุมากขึ้นด้วย ในด้านธุรกิจ วาวมีธุรกิจที่ทำมานานแล้ว น้ำเต้าหู้โซยัง และกำลังจะมีโปรดักซ์ที่เป็นลูกๆ มีกาแฟ เครื่องดื่มอื่นๆภายใต้คอนเซ็ปต์เดิมเฮลตี้ไม่ใส่สารปรุงแต่ง ดีต่อสุขภาพ ก็จะขยายธุรกิจไปเรื่อยๆ และอีกความฝันหนึ่งที่วาคิดไว้ ไม่รู้จะเป็นไปได้หรือไม่ได้ อยากเป็น นายกรัฐมนตรี อาจจะสัก 15 ปีข้างหน้า เป็นความฝันจริงจังค่ะ เพราะฉะนั้นสกิลการพูดภาษาอังกฤษก็สำคัญ หลังจาก 5 ปี อาจจะมีไปเรียนต่อเพิ่มเติมค่ะ มีแพลนทำแพลตฟอร์มที่จะช่วยเหลือเกษตรกรด้วย และมีแพลตฟอร์มที่จะเอาไว้ออแกไนซ์สิ่งต่างๆ น่าจะมีตัวเดโม่มาให้ดูภายใน 3-5 ปีนี้ค่ะ”

วางแผนชีวิตเป็นสเต็ป?
“จริงๆก็ไม่ได้วางแผนเป็นสเต็ปมาตั้งแต่แรก พอเราเรียนรู้ชีวิตมาเรื่อยๆ รู้ว่าเราชอบหรือไม่ชอบอะไร เราอยากทำอะไรหรือไม่อยากทำอะไร อย่างแพลนอีก 5 ปีนี้ยังไงก็ถ่ายละคร เราอายุเท่านี้มีเวลาทำตรงนี้ให้เต็มที่ประมาณนี้ และหลังจากนั้นเราก็อาจจะมูฟออนทำอย่างอื่น แต่งงานมีลูก ทำธุรกิจเติบโตอยู่ได้แล้ว เราอาจจะค่อยกลับมาคืนให้สังคมทีหลัง ถ้าธุรกิจเราเติบโตประสบความสำเร็จ มีเงินมากพอในการดูแลตัวเองและครอบครัว ให้ความสุขท่องเที่ยวเรียบร้อยแล้วอาจจะกลับมาประเทศไทย ช่วยเหลือซัพพอร์ตคนที่ยังไม่ได้มีเท่าเราให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”

ทำไมถึงอยากเป็นนายกรัฐมนตรี?
“จริงๆคิดไว้นานมากแล้วค่ะ สัก 10 ปีได้แล้ว แต่ว่ามันก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง ต้องดูต่อไปเพราะเป้าหมายจริงๆก็ไม่ใช่ตำแหน่ง เพราะฉะนั้นอาจจะไม่เป็นนายกฯก็ได้ แต่อยากจะทำยังไงให้สามารถช่วยเหลือผู้คนให้ได้มากที่สุด ทั้งเกษตรกร การที่เป็นนายกฯมันก็ดีตรงที่ว่าเราสามารถบริหารจัดการหลายภาคส่วนได้พร้อมๆกัน ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา

ซึ่งการศึกษาสำคัญมากสำหรับการที่จะมีประชาชนรุ่นถัดไปขึ้นมาพัฒนาประเทศ หรือว่าการส่งออก การค้า การเกษตร ทุกอย่างมันสามารถพัฒนาไปได้พร้อมๆกันถ้าได้เป็นนายกฯ อาจจะไม่ได้เป็นก็ได้เพราะกลัวหน้าแก่ เราอาจจะเครียดเกินไปถ้าเราเข้าไปอยู่ในตำแหน่ง ก็คิดไว้ก่อนไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ได้นะ เราอยู่ภายใต้ความกดดันบางทีอาจจะไม่ได้ทำอะไรง่ายขนาดนั้น สมมติว่าธุรกิจประสบความสำเร็จอาจจะช่วยเหลือผู้คนได้จากทางอื่นก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นนายกฯก็ได้ ก็ดูๆไปไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ค่ะ”

มองอย่างไรที่นักแสดงแสดงความคิดเห็นทางการเมือง กลับเป็นประเด็นที่อ่อนไหวส่งผลต่อภาพลักษณ์ กังวลตรงจุดนี้ไหม?
“นักแสดงก็เป็นประชาชนคนหนึ่ง มันไม่ได้แตกต่าง ต่อให้วันนี้วาเลิกเล่นละคร วาก็เป็นประชาชนคนหนึ่ง เรามีสิทธิเท่าประชาชนคนหนึ่งทั่วไปเท่านั้นเอง การที่อยากเป็นนายกรัฐมนตรีมันเป็นความฝันตั้งแต่เด็ก วาว่าทุกคนมีความฝันก็ไม่ผิด และความฝันเราไม่ได้ไปทำร้ายใคร อย่างวาเป็นลูกหลานชาวนา ประเทศเราเต็มไปด้วยความสมบูรณ์ทางเกษตรกรรม ข้าว ผลไม้ ผักทุกอย่าง มันคือสวรรค์เลย เราเคยไปเที่ยวมาเกือบทั่วโลกประเทศไทยคือเมืองอาหารที่ดีที่สุด

เพราะฉะนั้นเราสามารถทำอะไรให้กับเกษตรกรรม เกษตรกรได้อีกมากมายเพื่อพัฒนาให้เติบโต วาวมองว่าถ้าเราเป็นคนรุ่นนี้แล้วตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่เราจะทำอะไรได้บ้างที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ได้หรือไม่ได้ไม่เป็นไร ไม่มีความกดดันแค่รู้สึกว่าเรามีความคิดโพสิทีฟ เราอยากจะช่วยเหลือ เราช่วยได้หรือไม่ได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่อย่างน้อยดีกว่าไม่คิดอะไรเลย”

ธุรกิจของเราตอนนี้เติบโตไปแค่ไหนแล้ว?
“จริงๆก็ยังไม่ได้เติบโตมาก อย่างช่วงหนึ่งที่วาวไปเรียน ก็ไม่ได้โฟกัสธุรกิจเต็มที่มาสักพักหนึ่ง ก่อนหน้านี้ถ่ายละคร 3 เรื่อง แต่ก็ถือว่าธุรกิจดูแลตัวเองได้และดูแลครอบครัวได้ อย่างน้อยถ้าวาไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศก็ยังสบายใจได้ว่าธุรกิจดูแลคุณแม่ ดูแลน้องชายได้ ซึ่งยังไม่ถือว่าประสบความสำเร็จในจุดที่เราตั้งเป้าหมายไว้ แต่ก็ไปได้ระดับหนึ่ง สมมติเราคาดหวังไว้ร้อยตอนนี้ไปประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ คนทำธุรกิจก็ต้องอยากได้พันล้านหมื่นล้านจะได้ไม่ได้ก็อีกเรื่องหนึ่ง”

ช่วงที่หายไปเรียน ทำไมถึงเลือกที่นิวซีแลนด์?
“มีเพื่อนอยู่ที่นั่นค่ะ เป็นเพื่อนที่เรียนประถมมาด้วยกันเลย เขาไปอยู่ที่โน่น 14 ปี เขาก็ชวนเรามาอยู่บ้านด้วยกันได้ ก็เลยไปพร้อมแม่เพื่อน นิวซีแลนด์เป็นประเทศที่ปลอดภัยที่สุดอันดับสองของโลก น้ำสะอาดอันดับสองหรืออันดับหนึ่งของโลกไม่แน่ใจ การศึกษาก็อยู่อันดับสองอันดับหนึ่ง เพราะฉะนั้นการศึกษา น้ำสะอาด ความปลอดภัย เราก็มั่นใจว่าไปประเทศแล้วรู้สึกปลอดภัย นิวซีแลนด์กับประเทศไทยแตกต่างกันค่อนข้างเยอะมากๆ จะเปรียบเทียบกันแทบไม่ได้เลย ที่โน่นเขามีคนแค่ 4 ล้านคน ประเทศไทยเรามี 70 ล้าน ด้วยปริมาณคนที่เราจะบริหารจัดการยากกว่ากันเยอะเลย ที่โน่นประเทศเล็กบริหารจัดการได้ง่ายกว่า”

ถึงขั้นอยากจะไปใช้ชีวิตที่นิวซีแลนด์เลยไหม?
“คิดว่าถ้าตอนมีอายุเยอะแล้ว น่าจะไปอยู่ที่นั่นค่ะ ส่วนเรื่องที่อยากจะช่วยพัฒนาสังคมประเทศไทย ตัวเราอาจจะไม่ต้องอยู่ก็ได้ เราคิดแพลตฟอร์ม วางแผน ตัววาวคนเดียวไม่สามารถไปช่วยอะไรใครได้ขนาดนั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่วาวคิดมันต้องเป็นแพลตฟอร์มรูปแบบเป็นระบบที่สามารถเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ซึ่งเป็นโปรเจ็กต์ในอนาคต 15 ปี แต่ก่อนคิดว่าจะภายในอายุ 35 แต่คิดว่าไม่ทัน ค่อยๆทำไปทีละอย่าง”

ทำไมเราถึงสนใจเรื่องเกษตรกรรม?
“คุณตาคุณยายเป็นชาวนา เรารู้สึกว่า 20 ปีผ่านไป เรากลับไปอุดรฯ คุณแม่เป็นคนอุดรฯ ทุกอย่างมันไม่ได้เกิดการพัฒนา เรารู้สึกว่าชีวิตเราจากเด็กมาจนถึงตอนนี้ แค่ตัวมนุษย์คนเดียวเรายังพัฒนามาถึงขนาดนี้ เรามีสกิลมากขึ้น หน้าที่การงานประสบความสำเร็จมีธุรกิจมีอะไรหลายอย่าง แต่ว่าคนที่นั่นการใช้ชีวิตมันยังเหมือนเดิมหรือบางอย่างไม่ได้ดีขึ้นแย่ลงด้วย ถ้าเราประสบความสำเร็จมีเงินส่งให้ครอบครัวมันได้ครอบครัวเดียว ซึ่งมันไม่สามารถช่วยเหลือใครได้มากขนาดนั้น”

“การช่วยมันต้องช่วยด้วยการที่เราให้เบ็ดไม่ได้ให้ปลา แต่ว่าเราต้องมีระบบที่ดีไปซัพพอร์ตการค้าขายเพราะว่าทุกคนก็ต้องใช้เงินในการดำรงชีวิต เพราะฉะนั้นจะทำอย่างไรให้เขามีรายได้มากขึ้น ใช้เทคโนโลยีเข้าไปในการทำให้ทำการเกษตรได้ง่ายขึ้นได้ผลผลิตมากขึ้น ขายได้ราคาดีขึ้น ถามถึงความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลง ถ้าเป็นเมื่อ 10 ปีก่อนวาก็คิดว่ายากเพราะว่าเริ่มคิดระบบนี้ตอนที่วาอายุ 22 ก็เกือบ10มาแล้วเนาะมันก็คิดว่ายากเพราะด้วยเทคโนโลยีเรายังไม่ถึงจุดที่ทุกคนมี ตอนนี้ทุกคนมีโทรศัพท์ที่สามารถใช้ไลน์ ใช้แอพพลิเคชั่นต่างๆได้ ตายายก็ใช้เฟซบุ๊ก ไลน์ วิดีโอคอลเป็น เพราะฉะนั้นเทคโนโลยีมันก้าวกระโดดแบบดับเบิ้ลเพิ่มขึ้นไปเร็วขึ้นกว่าเดิม”

ขอบคุณภาพจาก wawwa_nc

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน