10ปีที่รอคอย ก้อย-ตูน วิวาห์หวานสุดซึ้ง เติมเต็มชีวิตคู่สมบูรณ์ อยากมีลูกแฝด

10ปีที่รอคอย ก้อย-ตูนเมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 28 พ.ย.2563 ที่ห้องแกรนด์ฮอลล์ โรงแรม ดิแอทธินี โฮเทล แบงค็อก, อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล สถานที่จัดพิธีฉลองมงคลสมรสระหว่าง ก้อย รัชวิน วงศ์วิริยะ นักแสดงสาว วัย 36 ปี กับ ตูน อาทิวราห์ คงมาลัย หรือ ตูน บอดี้สแลม นักร้องหนุ่มชื่อดัง วัย 41 ปี หลังทั้งคู่คบหากันมานานถึง 10 ปี ก่อนที่ฝ่ายชายจะทำเซอร์ไพรส์ขอฝ่ายหญิงแต่งงานไปเมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา ท่ามกลางความยินดีของครอบครัว เพื่อนพี่น้อง และแฟนคลับ

10ปีที่รอคอย ก้อย-ตูน

สำหรับพิธีมงคลสมรสในช่วงเช้าประกอบไปด้วยพิธีสงฆ์ ขบวนแห่ขันหมาก พิธีสวมแหวน และพิธีรดน้ำ ตามลำดับ

จากนั้นเวลาประมาณ 16.00 น. ตูน อาทิวราห์ และ ก้อย รัชวิน เจ้าบ่าว-เจ้าสาวป้ายแดง ได้เปิดใจให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์ถึงความรู้สึกในวันสำคัญของ 10ปีที่รอคอย ก้อย-ตูน พร้อมแพลนชีวิตครอบครัวหลังแต่งงาน

เจ้าบ่าวเจ้าสาวป้ายแดง พูดความรู้สึกในวันนี้หน่อย?

ก้อย : ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง เป็นความรู้สึกที่ไม่ได้นอนเลย พยายามข่มตาหลับ แต่พอมาถึงที่งาน ได้เจอครอบครัว ได้เจอคนที่รัก และก็เลี้ยงดูเรามาตั้งเด็ก ญาติที่ไม่เจอตั้งนาน ก็ทำให้เราฮึบขึ้นมาได้ โมเมนต์ที่เราเดินมาแล้วเห็นพ่อแม่ของเราสองคนอยู่ข้างหน้า มันเกินที่จะบรรยาย ไม่คิดว่าเราจะได้เห็นภาพในวันนี้

ย้อนกลับไปเมื่อคืนเห็นเซอร์ไพร์สกันด้วย?

ตูน : เหมือนแค่อยากมอบของขวัญให้เรา โทษทีนะครับ ที่เสียงเบา ทุกคนน่าจะชิน จริงๆ คืนก่อนแต่งงาน เขาเป็นจอมเซอร์ไพร์สอยู่แล้ว ชอบโอกาสพิเศษต่างๆ เขาจดจำ สรรหาของที่เราบ่นว่าอยากได้ เขาจะเก็บเมมโมรี่ตลอด และจะปล่อยไม้เด็ดมาตลอด เมื่อวานก็เป็นอีกวันที่ก้อยจอมเซอร์ไพร์สได้ทำงาน ซึ่งผมมองว่าเป็นสิ่งที่ผมชอบในตัวเขา

ตลอดระยะเวลาที่คบกันมา 10 ปี เขาไม่ได้ทำเซอร์ไพรส์ให้ผมคนเดียว เขามักจะจดจำวันเกิดเพื่อน ญาติหรือใครก็ตามที่อยู่ในวงโคจรชีวิตของเขา เขามักจะมอบความสุขให้คนเหล่านี้เสมอ ซึ่งต่างจากผม ผมจะเป็นคนที่ไม่สังเกตคนรอบข้างสักเท่าไร ซึ่ง 10 ปีที่ผ่านมา เราสังเกตเขาที่เขาทำให้คนอื่น มันเลยทำให้เรามามองตัวเอง แล้วอยากทำให้คนอื่นบ้าง ใส่ใจคนอื่น

แสดงว่าแพ้ทางความใส่ใจใช่ไหม?

ตูน : ผมว่าทุกคนแหละถ้าสมมติว่ามีใครสักคนที่เขาทำให้เรามีความสุขอยู่เสมอ ไม่ต้องให้ของก็ได้ แต่ทำให้เรามีความสุขระหว่างวันผมว่าใครๆ ก็แพ้ทาง

ก้อย : อย่างที่พี่ตูนบอกว่าก้อยเป็นคนชอบเซอร์ไพรส์อยู่แล้ว เวลาเห็นคนที่เรารักมีความสุขยิ้มดีใจเราก็มีความสุขตาม เลยเป็นคนชอบเซอร์ไพรส์มาแต่ไหนแต่ไร แล้วก็มันก็เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของเราทั้งคู่ ก้อยก็เหมือนอยากที่จะมีข้อความดีๆ ที่จะบอกเขาก่อนวันสำคัญแล้วก็เป็นของที่พี่ตูนอยากได้ เราก็เหมือนแอบไปหามาให้

10ปีที่รอคอย ก้อย-ตูน

หลังจากวันนี้ต้องใช้ชีวิตคู่ของการเป็น “สามี-ภรรยา” อย่างเป็นทางการแล้ว เกร็งหรือว่าต้องปรับตัวอะไรยังไงไหม?

ก้อย : เกร็งตอนนี้ค่ะ ตอนที่สัมภาษณ์นี่เกร็งที่สุด เราคุยกันว่ามันจะมีอะไรเปลี่ยนไปมั้ย จากแฟนขยับมาเป็นสามีภรรยา แต่ก้อยรู้สึกว่าในการปฏิบัติในความรู้สึกอาจจะเหมือนเดิม

แต่การปฏิบัติคือเราเองก็ต้องเหมือนกับเปลี่ยนสถานะเป็นภรรยาในอนาคต รวมถึงเป็นแม่ คือเราต้องมีบทบาทที่มันเพิ่มเติมมากขึ้น เพราะฉะนั้นมันต้องมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น ถามว่าเกร็งมั้ย ก้อยว่ามันเป็นอีกหนึ่งบทบาทใหม่ที่เราจะต้องเรียนรู้ แล้วก็ปรับตัวกันต่อไป เพราะว่า 10 ปีที่ผ่านมาเราก็เรียนรู้กันมาในระดับหนึ่ง พอมันเปลี่ยนไปอีกบทบาทหนึ่ง มันก็ต้องมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติม ซึ่งมันก็เป็นอะไรที่น่าสนุก เหมือนเราได้สอบเลื่อนขั้นตอนนี้เราจบม.6 แล้วเรากำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย

10ปีที่รอคอย ก้อย-ตูน

ตูน : อย่างที่ก้อยบอกเมื่อกี้ คือเรารู้สึกว่าเราได้เรียนต่อในขั้นต่อไปของความเป็นคน คือเราคบกันมา 10 ปีเราก็เป็นแฟนกัน แล้วเราก็เป็นลูกของพ่อแม่ เรายังไม่ได้แต่งงาน ไม่ได้มีลูกที่เราจะทำเพื่อเขา เราเป็นแฟนกันเราก็ยังเป็นลูกของพ่อแม่ยังเป็นเด็กอยู่เสมอ เราเลยรู้สึกว่าการแต่งงานหรือการมีครอบครัวมันคือการที่ขยับความเป็นคนของเราให้มันสมบูรณ์มากขึ้น

ผมก็ตื่นเต้นที่จะได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยเหมือนกัน คือเราก็ซ้ำชั้นมัธยมมาหลายปีแล้วเนอะ(หัวเราะ) ซ้ำชั้นจนมาอายุ 41 แล้วเพิ่งจะได้เรียนมหาวิทยาลัย เราคิดว่ามันเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้ตื่นเต้นกับความรู้สึกใหม่ๆ ตื่นเต้นในแง่ดีนะครับ ไม่ว่าสุดท้ายมันก็ต้องเจอเรื่องอะไรที่มันไม่ใช่มีแค่ด้านเดียว ไม่ใช่มีแค่ความสุขอย่างเดียว

เรารู้ว่าเมื่อเจอความทุกข์ เราจะจัดการกับมันอย่างไร วันนี้เราโชคดีมากๆ หรือไม่วันที่เราไปแจกการ์ดกับผู้ใหญ่บางคน แล้วเราได้คำสอยดีๆ เราได้คำเตือนสติดีๆ จากท่านเหล่านั้นมาเก็บในคลังข้อมูลให้เราได้ใช้ คำอวยพรเหล่านี้ และคำสอนเหล่านี้แหละที่จะถูกนำไปบอกเราหรือบอกก้อยในอนาคตว่า เราจะทำมันอย่างดี เราจะทำอย่างที่ผู้ใหญ่สอน ก็ตื่นเต้นที่จะได้ขยับที่ทางของตัวเอง

กว่าจะได้เจ้าสาวคนนี้มาเมื่อเช้าก็เจอด้านกั้นประตูเงินประตูทองที่หนักหนาพอสมควรเลย?

ตูน : ด้วยความสัตย์จริงผมคิดว่ามันจะหนักกว่านี้นะครับ

ท่าลูบเป้านี้คือเป็นปกติเหรอ?

ก้อย : (หัวเราะ) หนูว่าเพื่อนหนูเกรงใจพี่ตูน เพราะก้อยบอกให้จัดหนัก เอาให้เต็มที่ แต่พี่ตูนไม่ยากใช่ไหมคะ

ตูน : ยาก แต่บางทีการใช้ซองก็แก้ปัญหาได้

ก้อยได้บอกเพื่อนไหมคะว่าให้ออกมาในแบบไหน?

ก้อย : ก้อยให้เพื่อนครีเอทค่ะ เพราะเราก็อยากเห็นว่าการกั้นประตูมันเป็นอย่างไร แต่ก้อยก็ไม่ได้ดูเพราะตอนนั้นต้องซ่อนตัว ก็เลยไม่รู้ว่าพี่ตูนเจออะไรบ้าง

เมื่อเช้ามีข้อความหนึ่งที่ถูกแชร์กันเยอะมาก เกี่ยวกับเรื่องกลัวเมีย ยังจำได้ไหมคะ?

ตูน : จำไม่ได้เลย แต่คิดว่าน่าจะเป็นด่านในประตูที่สองมั้ง เขาเอาคาถาบูชาเมียมาให้เราร้องเป็นเมโลดี้ ตอนแรกเราก็ร้องในแบบบอร์ดี้สแลม เอาทำนองแสงสุดท้ายมา แต่คำมันไม่ครบก็เลยต้องด้นสดเอา ตอนนี้ลืมไปหมดแล้ว

ก้อย : ลืมเร็วจังเลยนะ เพิ่งเมื่อเช้าเองนะ ทำไมเป็นคาถาที่ลืมเร็วจัง

ตูน : นี่คือสาเหตุที่ผมสอบตกมัธยมฯมาหลายครั้ง

ก้อย : เขาบอกว่า happy life happy wife

พอท่องคาถานั้นไปหลายคนเลยบอกว่าพี่ตูนเข้าชมรมพ่อบ้านใจกล้า กลัวภรรยานิดหนึ่ง?

ตูน : จริงๆ แล้ว ใช้คำว่าเคารพมากกว่านะ ไม่ใช่แบบเคารพผู้ใหญ่เด็กนะ แต่เป็นการเคารพซึ่งกันและกัน ถามว่ากลัวไหมก็มีเกรงนะ เคารพในความคิดของเขา ทุกอย่างมันก็ต้องเติมเต็มให้กัน ประคับประคองมากกว่า

สินสอดมีอะไรบ้าง?

ก้อย : ไม่ได้ดูเลยอ่ะ ไม่ได้มองตรงนั้นเลยค่ะ ใจไปจดจ่ออยู่ที่คุณพ่อคุณแม่ แล้วก็โมเมนต์ของการสวมแหวนก็เลยไม่ได้สังเกตว่าพี่ตูนให้อะไรบ้าง อันนี้มันเหมือนเป็นเรื่องของผู้ใหญ่มากกว่าที่เป็นพิธีการสำหรับก้อยไม่ได้สำคัญไปกว่าการที่เราได้มีวันนี้ด้วยกัน

ทั้งคู่มองว่าต่างมาเติมเต็มกันและกันยังไงบ้าง?

ตูน : สำหรับผมคือเราไม่ใช่คนที่คบกันปีสองปีแล้วมาแต่งงานกันแล้วต่างที่จะเรียนรู้ซึ่งกันและกันมาตลอด 10 ปีและก็เติมให้กันตลอด 10 ปีอยู่แล้วผมคิดว่า 10 ปีที่ผ่านมาเราก็ได้เรียนรู้แล้วว่ามันจะเป็นเหมือนพื้นฐานที่ดีต่อการใช้ชีวิตคู่อีก 20 30 40 ปีถ้าเราโชคดีอยู่ได้นานขนาดนั้น ระหว่างทางก้อยเขาก็มักจะเป็นคนเติมให้ผมเสมอ เป็นคนเติมให้ผมซะเยอะ ไม่ว่าผมจะไปทำกิจกรรมอะไร

ไม่ว่าผมจะมีคอนเสิร์ตเล็กคอนเสิร์ตใหญ่ เขาว่าเขาก็จะไปเชียร์ตลอดเวลา รวมถึงกิจกรรมออกไปวิ่งออกไปอะไร ซึ่งเขาไม่ได้ออกกำลังหรือตั้งแต่แรก เขาก็เลือกที่จะมาตากแดดตากลมกับเรานั่งรถไปวิ่งไกลๆ 30 40 กิโล คือลำบากเขายอมที่จะเข้ามาอยู่ในวงจรชีวิตเรา ซึ่งเรารู้สึกว่าเราเคารพเขาตรงนี้มากในการที่เขาอยากจะมาร่วมอยู่ ซึ่งมันไม่ง่ายสำหรับใครบางคนมาอยู่ข้างผมที่ใช้ชีวิตแบบสุดโต่งแบบบ้าระห่ำทำอะไรก็อยากให้มันสุดๆ เต็มที่เขาเติมให้ผมซะส่วนใหญ่

ก้อย : สำหรับก้อยคือพี่ตูนเป็นทุกอย่างเป็นทั้งพี่ชาย เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งคนรัก แล้วพี่ตูนจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตามแต่ว่าทุกอย่างที่พี่ตูนทำได้เปลี่ยนให้ก้อยเป็นคนที่ดีขึ้นในทุกๆ วัน แล้วก็ทั้งหมดทั้งมวลมันมาจากความรักเราก็เราเคารพซึ่งกันและกันคือสิ่งที่พี่ตูนทำที่เขาปฏิบัติต่อครอบครัวกับแฟนเพลงของเขากับคนรอบข้างเค้าการอ่อนน้อมถ่อมตัวของพี่ตูน

ความเป็นคนใจดีของพี่ตูนมาทำให้ก้อยโตขึ้นมากๆ คือก้อยเชื่อว่าตลอด 10 ปีที่ผ่านมาพี่ๆ ก็น่าจะเห็นพัฒนาการของก้อยทางความคิดเวลาที่เราเจอกันก็จะรู้สึกว่าพี่ตูนเข้ามาเขาไม่ได้เปลี่ยนก้อยแต่เขาทำให้ก้อยเป็นก้อยที่ดีขึ้น นั่นแหละมันคือสิ่งที่เขาเติมเต็มในส่วนที่ก้อยขาดซึ่งบางทีพี่ตูนอาจจะไม่ได้บอกก้อยตรงๆ หรือสอนก้อยตรงๆ แต่การกระทำของเขามันคือสิ่งที่สำคัญที่สุด

ให้คำมั่นสัญญาอะไรกันบ้าง?

ก้อย : ไม่มีเนาะ เราไม่เคยสัญญาอะไรกันเลย

ตูน : เราไม่เคยผูกมัดกันด้วยเงื่อนไขหรืออะไร แต่ถ้าถามว่า อนาคตคุยอะไรกัน คิดว่าอยากจะมีลูกเลย อันนี้อาจจะตอบคำถามในเรื่องของสัญญาได้ คือเราคุยกันว่าเราอยากที่จะมีลูกเลยเพราะผมก็ 40 กว่าแล้วก้อยก็ 36 ย่าง 37 ปี คิดว่าถ้าอยากจะมีลูกให้ทันก็ต้องด่วนๆ

ก้อย : ตอนนี้ยังทันอยู่ใช่มั้ยคะ(หัวเราะ)

อยากจะมีลูกสักกี่คน เพราะพี่ตูนเหมือนอยากจะมีลูกมาก?

ตูน : ใช่ๆ เพราะจริงๆ มันเป็นความฝันของผม มันเหมือนเรื่องที่ผมต่อไปคือการขยับขยายที่ทางของตัวเองในฐานะความเป็นมนุษย์คนนึง การมีลูกคือการที่เราอาจจะมีความคิดอีกแบบนึง เราอาจจะไม่ได้ใช้ชีวิต จะไม่ได้เห็นผมออกไป วิ่งไกลๆ หรือปีนเสาคอนเสิร์ตหรือกระโดดจากลำโพงเพราะเราต้องห่วงลูก มันก็อาจจะเป็นแบบนั้น แต่เราก็อยากที่จะ ไปเผชิญกับมัน ว่ามันจะสนุกแค่ไหนมันจะลำบากแค่ไหน

ก้อย : อยากจะพาลูกไปวิ่งมาราธอนด้วย พ่อแม่ไปวิ่งแล้วมีลูกรอเชียร์อยู่หน้าเส้นชัยมันคงเป็นภาพที่น่ารักดี

 

ถ้าอย่างนั้นตัวเราเตรียมจะไปเป็นแม่บ้านเลยไหม?

ก้อย : ก้อยก็ปล่อยให้มันเป็นไปตาม วิถีชีวิต เราก็ไม่ได้อยากที่จะไปกะเกณฑ์อะไร ว่าจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ เราอยากที่จะสนุกไปกับมัน แต่แน่นอนว่าบทบาทในวงการบันเทิง ในช่วงแรกมันอาจจะลดลง พอเรามีน้องแล้ว เพราะก้อยเป็นคนที่เวลาทำอะไรสมมติว่าถ้าเราจะเป็นแม่ เราก็อยากที่จะเป็นแม่ที่ดีที่สุด คือเราเป็นคนที่ทำได้ทีละอย่าง

คือเหมือนโฟกัสว่าโอเคถ้าตอนนี้เรามีลูก เราก็อยากที่จะเลี้ยงเขาด้วยตัวเอง อยากจะทำหน้าที่ตรงนี้ให้มันดีที่สุด ส่วนอื่นๆ เราก็ยังจะทำต่อ คงไม่ได้หายไปไหนจากวงการบันเทิง แต่มันอาจจะไม่ได้ถี่ ไม่ได้บ่อย เหมือนแต่ก่อนแล้ว เวลาจะรับงานอะไรก็ ต้องคำนึงถึงพี่ตูนด้วยครอบครัวด้วย และเราอาจจะย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่น ที่ไม่ใช่กรุงเทพฯ

 

เรื่องที่จะย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่นที่ไม่ใช่กรุงเทพฯ วางแผนไว้ว่าจะไปเมื่อไหร่?

ตูน : ผมว่าด้วยธรรมชาติมันน่าจะประมาณ 2-3 ปี อีก 2-3 ปีที่วิถีชีวิตที่เรา ต้องปรับการเดินทางไปทัวร์คอนเสิร์ตตามที่ต่างๆ มันเป็นยังไง ชีวิตก้อยกับงาน สมมติถ้ามีลูกแล้วจะเป็นยังไงบ้านที่ทำไว้จะสร้างเสร็จใหม่ด้วย แต่คาดว่าอยากที่จะให้มันเกิดขึ้นเร็วที่สุด ประมาณอีก 2 ปี 3 ปี

แสดงว่าเรามีแพลนที่อยากจะมีลูกเลย?

ตูน : มีเลย ถ้าผมมีความสามารถพอ (หัวเราะ)

อันนี้คือเรามั่นใจในตัวเองหรือว่าได้ปรึกษาแพทย์เรียบร้อยแล้ว?

ก้อย : เราไปตรวจเพื่อการเตรียมตัววางแผนการเป็นคุณพ่อคุณแม่ แต่เราก็อยากจะใช้วิธีธรรมชาติก็ลองดูกันก่อนว่านั่นแหละค่ะ(หัวเราะ) อย่างที่พี่ตูนบอก

อยากมีลูกสาวหรือลูกชาย?

ตูน : ได้หมดเลยครับขอแค่ให้เขาสมบูรณ์แข็งแรง

ก้อย : ไม่ได้ซีเรียสเลยค่ะอะไรก็ได้ค่ะ

สักกี่คนดี?

ก้อย : เหมือนว่าพี่ตูนเขาอยากมีลูกแฝด

ตูน : คือผมอยากมีมากกว่าหนึ่ง อยากให้เขามีเพื่อน และก็ด้วยความที่ก้อยเขาสมมติถ้าหากมีคนแรกตอนอายุ 37 สมมติว่าโชคดีปีหน้าเรามีได้ อีกทีหนึ่งถ้าจะต้องมีมันก็ต้องเป็นช่วง 38-39 ซึ่งผมคิดว่ามันก็อาจจะเสี่ยงเกินไปไหมหรือไม่ดีกับแม่และลูก ก็เลยคิดว่าฝาแฝดน่าจะเป็นทางเลือกที่ใช่สำหรับครอบครัวเรา

แสดงว่าก็อาจจะต้องพึ่งแพทย์ด้วยเหมือนกัน?

ตูน : ก็ต้องอย่างนั้นครับ

ก้อย : ถ้าจะมีแบบนั้นนะคะ แต่ยังไงตอนนี้เราก็อยากจะลองธรรมชาติดูก่อน วางไว้เป็นแพลนบีเพราะเราก็อยากลองใช้ความสามารถของเราก่อน

บรรยากาศค่ำคืนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง?

ก้อย : เดือด พูดได้คำเดียวค่ะ

ตูน : น่าจะสนุก คือตอนแรกเราไม่ได้คิดเลยว่าจะต้องเป็นไซซ์อะไรขนาดไหน แต่พอเรามานั่งคิดกันดีๆ คือตลอดทางที่ผมร้องเพลงมา 18 ปีเกือบ 20 ปี ก็มีคนหลายๆ คน พี่ๆ ผู้ใหญ่หลายๆ ท่านที่อยู่ในวงจรชีวิตเราที่เข้ามาสนับสนุนอุปถัมภ์ค้ำจุนเรา เพื่อนๆ เราเองตลอดตั้งแต่เพื่อนที่บ้านเกิด จนถึงเพื่อนมหาลัย และเพื่อนนักดนตรี ดังนั้นมันเลยเล็กไม่ได้ ผมก็เลยคิดว่ามันน่าจะเป็นวันที่เราได้ขอบคุณเขา วันที่เราได้จัดปาร์ตี้สักงานหนึ่งเพื่อให้พวกเราได้มาเจอกัน และก็มีความสุขด้วยกัน ยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยกัน ขอบคุณด้วยการทำให้พวกเขามีความสุขครับ

ฮันนีมูนของเราตั้งใจไว้ว่าจะไปเที่ยวที่ไหน?

ก้อย : ภูเก็ตที่เดิมค่ะ เพราะพี่ตูนมีแพลนจะไปวิ่งมาราธอนต่อหลังจากจบงานแต่ง ซึ่งตอนแรกเขาก็ชวนก็ก้อยไปวิ่งด้วย แต่ก้อยบอกว่าพักก่อนเพราะมันน่าจะโหดอยู่ 42 กิโลเมตร และก้อยยังก็ไม่ได้ซ้อมเลยด้วย แต่ก็ตั้งใจแล้วค่ะว่าจะทำหน้าที่ซัพพอร์ตเขาเหมือนเดิม

วันนี้มีอะไรอยากจะบอกกันและกันบ้างไหม?

ตูน : สำหรับผมเองวันนี้มัน…มันเกินจริงมาก ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมีภาพแบบนี้หรือแม้กระทั่งงานตอนเช้าในจินตนาการของผมเลย คือผมรู้นะครับว่าอยากแต่งงาน แต่ผมไม่เคยคิดว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ ไม่คิดว่าพ่อแม่จะต้องมานั่งแบบนี้ ให้เราได้กราบเท้าท่าน ให้ท่านอวยพรหรืออะไรก็แล้วแต่ วันนี้มันเป็นวันที่ดีมากสำหรับผมที่มันเกิดขึ้น มันทำให้ผมมีความสุขมาก และผมก็อยากจะขอบคุณ เพราะว่าความสุขทั้งหมดภาพที่มันเกิดขึ้น ทั้งหมดมันเกิดขึ้นได้เพราะว่าเขา เพราะว่ามีเขาครับ

ก้อย : จริงๆ ก็คล้ายๆ กันค่ะ คือก่อนที่จะเริ่มต้นวันนี้ เราก็ได้รับคำอวยพรจากผู้ใหญ่หลายๆ ท่าน และทุกคนก็จะพูดเหมือนกันว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ไปไม่ว่าจะเจออุปสรรคอะไรก็ตาม ให้นึกถึงวันแรกที่เราเจอกัน ให้นึกถึงวันที่เราตกหลุมรักกัน ซึ่งตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมา เราผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะมาก เยอะมากจริงๆ คือไม่ว่าจะร้ายหรือดี หรือจะอะไรก็ตาม พี่ตูนก็ไม่เคยไปไหน

ความรักที่พี่ตูนให้ก้อยมันมากพอที่จะทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งกล้าที่จะมีแรงเดินต่อไปในทุกๆ วัน (ร้องไห้)

คิดว่าชีวิตคู่ของเรามันเหมือนการวิ่งมาราธอนเหมือนกันนะคะ ระหว่างทางเราต้องผ่านทั้งการฝึกซ้อม ความอดทน กว่าจะลงสนามบางทีเราก็ไม่รู้ว่าเราจะต้องไปเจอกับอะไรบ้าง จะร้อน จะหนาว ทางจะยากลำบาก เราจะบาดเจ็บมั้ย เราจะเป็นอะไรไหม แต่ว่าสุดท้ายพอเราเดินมาถึงเส้นชัยทุกอย่างมันสวยงามเสมอ ซึ่งวันนี้เราก็รู้สึกว่าจริงๆ เราเหมือนจะเดินไปถึงเส้นชัยนะ แต่ว่าจริงๆ แล้วมันเพิ่งเริ่มต้น มันคือจุดเริ่มต้นของของก้าวของราธอนครั้งใหม่ชีวิตที่เราจะต้องไปด้วยกันต่อ

ทั้งนี้ในส่วนของพิธีเช้าและพิธีฉลองมงคลสมรส มีแขกผู้ใหญ่และเพื่อนพี่น้องในวงการ ตบเท้ามาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างมากมาย อาทิ อากู๋ ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม, เล็ก บุษบา ดาวเรือง, ป๋าเต็ด ยุทธนา บุญอ้อม, เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์, เอก ธเนศ วรากุลนุเคราะห์, นิค วิเชียร ฤกษ์ไพศาล, หน่อง อรุโณชา ภาณุพันธุ์,

ปิ่น ณัฏฐนันท์ ฉวีวงษ์, แอ๊ด ยืนยง โอภากุล, โน้ส อุดม แต้พานิช, อุ๋ย นภาพร อุชชิน, วงแคลช, สิงโต นำโชค ทะนัดรัมย์, วงลาบานูน, ดา เอนโดรฟิน, อุ๋ย บุดด้าเบลส, วงบิ๊กแอส, วงบอดี้สแลม, น้าเน็ก เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา, ตั๊ก บงกช คงมาลัย, พี่นาง ศิริพร อำไพพงษ์, จุ๋ย วรัทยา นิลคูหา, พุฒ พุฒิชัย เกษตรสิน ฯลฯ

/////////

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :

ก้อย ขอบคุณพ่อแม่ ที่ดูแลลูก จนออกเรือน พร้อมเผย ข้อความสุดซึ้งจากพี่ชาย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน