นักแสดงสาว ก้อย รัชวิน เล่าโมเมนต์เรียบง่ายแต่น่ารัก ตูน บอดี้สแลม เซอร์ไพรส์วันเกิด เผยหลังแต่งงานสามีขี้อ้อน-มุ้งมิ้งขึ้น

กดติดตามไลน์ ข่าวสด official account ได้ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

เรียกว่าเป็นนักแสดงสาวมากความสามารถคนหนึ่งในวงการ สำหรับ ก้อย รัชวิน ภรรยาสุดสวยของร็อกเกอร์หนุ่ม ตูน บอดี้สแลม หรือ ตูน อาทิวราห์ คงมาลัย ล่าสุดได้มาเปิดเผยอาการป่วยของสามีที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลถึง 15 วัน พร้อมเผยชีวิตคู่หลังการแต่งงาน เตรียมปั๊มทายาททันที ในรายการ “คุยแซ่บSHOW” ที่มี ตั๊กแตน ชลดา, ธัญญ่า ธัญญาเรศ และ ชมพู่ ก่อนบ่าย เป็นพิธีกร

วันเกิดที่ผ่านมาเป็นอย่างไร? “ก็ดี เป็นวันเกิดอีกปีหนึ่งที่เราโตขึ้น พาคุณพ่อคุณแม่ ครอบครัวพี่ตูนไปทำบุญ แล้วก็เลี้ยงฉลองทานข้าวกันนิดหน่อย ถามว่าสามีเซอร์ไพรส์อะไรมั้ย คือตอนแรกเราก็บอกเขาไปว่าไม่ต้องให้อะไร เพราะก่อนช่วงแต่งงานเขาเซอร์ไพรส์เรามาเยอะมาก เราไม่ได้ต้องการอะไรแล้ว ปีนี่สิ่งที่อยากได้ที่สุดคืออยากให้เขาแข็งแรง เลยบอกเขาว่าไม่ต้องซื้ออะไรให้ แต่สุดท้ายเขาก็ซื้อเค้กมะพร้าวที่เราชอบมาให้ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ก้อยรู้สึกว่าแค่นี้ก้อยก็ดีใจแล้ว

ฟีลต่างกับการเป็นแฟนไหม? “เหมือนเขาใส่ใจรายละเอียดมากขึ้น ช่วงเวลาที่ผ่านมา 10 ปี ก้อยจะเป็นฝ่ายเซอร์ไพรส์พี่ตูน แต่พอเปลี่ยนสถานภาพไป เรารู้สึกว่าเขาพยายามดูแล และเอาใจใส่เราแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อย ๆ เขาก็บอกเราว่า เขาอยากดูแลเราไปตลอดชีวิต เหมือนฉลองวันเกิดไปด้วยกันเรื่อยๆ”

“คือตั้งแต่แต่งงานมาพี่ตูนเขาก็น่ารักขึ้นมากๆ ปกติเขาเป็นคนน่ารักสม่ำเสมออยู่แล้ว แต่มันมีความรู้สึกอุ่นใจ ในแง่ความรักที่มั่นคง มันดีมากๆ พอเราผ่านเรื่องราวต่างๆ มาด้วยกัน ทั้งสุขและทุกข์ เหมือนเรามองเห็นอนาคตร่วมกันมากขึ้น คือเขาเคยพูดกับก้อยว่า เขาไม่คิดที่จะทำอะไรแล้ว ชีวิตหลังจากนี้คือการสร้างครอบครัวกับเรา”

ชินหรือยังที่ตื่นมาแล้วเจอตูนอยู่ข้างๆ ทุกวัน? “เราเป็นแฟนกันมา 10 ปี เราตื่นมาแล้วเจอเขามันก็ดี ถามว่ามันชินหรือยัง คือตอนแรกเราก็เข้าใจว่าตอนเป็นแฟนกับตอนเป็นสามีภรรยา ความรู้สึกน่าจะเหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วความรู้มันต่างกัน เรารู้สึกว่ามันมีความรู้สึกของหน้าที่ ความรับผิดชอบในแง่การเป็นภรรยา คือเราต้องดูแลชีวิต ดูแลความเป็นอยู่ เอาใจใส่ในเรื่องอาหาร เรื่องต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ตัวเขา”

“ยิ่งเขาป่วยเรายิ่งเห็นเด่นชัดเลย คือแต่ก่อนถ้าเขาป่วยแล้วเราไม่สามารถไปเฝ้าเขาได้ ก็จะมีคุณพ่อคุณแม่ มีคนที่อยู่รอบข้างเขาไปดูแล แต่พอตอนนี้เรารู้สึกว่ามันคือหน้าที่ มันเป็นสิ่งที่เราต้องทำ เพราะมันไม่มีใครที่จะทำแทนกันได้”

หลังแต่งสามีขี้อ้อนขึ้น? “ใช่ อย่างที่ทุกคนเห็น อาจจะเป็นเพราะเป็นช่วงที่เขาไม่สบาย เขาก็เลยอยากให้เราคอยดูแล คอยอยู่ข้างๆ เวลาอ้อนเขาก็จะมีเสียงสองก็เหมือนคู่รักทั่วไป เป็นที่เสียงที่เราเอาไว้ใช้กับคนที่เรารัก”

“ปกติเราเรียกแทนกันว่าเป็ด พี่ตูนก็เรียกก้อยว่าเป็ด คือเวลาที่เขาไม่ได้อยู่บนเวทีเขาก็จะเป็นผู้ชายที่อ่อนโยน แบบนิ่มๆ พูดเบาๆ น้อยๆ คือตอนนี้พี่ตูนเขามุ้งมิ้งมากกว่าก้อยแล้ว อย่างตอนเช้าก่อนออกจากบ้าน หรือก่อนนอน เขาก็จะมีโมเมนต์มุ้งมิ้งบ้าง”

กิจกรรมที่ทำร่วมกันที่บ้านมีอะไรบ้าง? “ช่วงนี้เป็นช่วงที่พี่ตูนต้องพักฟื้นอยู่ที่บ้าน ก้อยก็จะช่วยพี่ตูนทำกายภาพ จะมีเครื่องกระตุ้นประสาท เป็นเครื่องไฟฟ้า ถ้าเป็นเวลาอื่นก็จะดูซีรีส์ ซึ่งเป็นกิจกรรมยอดฮิตที่อยู่ที่บ้าน”

“ถามว่าก้อยทำกับข้าวมั้ย คือก้อยเป็นแผนกจัดเตรียมมากกว่า อาจจะไม่ได้ลงมือปรุงอาหารด้วยตัวเอง แต่เราก็จะถามเขาว่าอยากทานอะไร เพราะตั้งแต่ปีใหม่มา ตั้งแต่พี่ตูนออกจากโรงพยาบาลมาก็ไม่ได้ไปไหนเลย อยู่บ้าน เหมือนล็อกดาวน์ตัวเอง หรือถ้าวันไหนพิเศษหน่อยก็จะมีทำสุกี้ทานกัน ก็จะไปซื้อวัตถุดิบมาทำทานกันเองที่บ้าน”

จุดเริ่มต้นที่ตูนป่วยมาจากอะไร? “อาการที่พี่ตูนเป็นคือหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทและมีส่วนที่ทำให้ปลายประสาทที่แขนมีอาการอ่อนแรง ตามที่คุณหมอวินิจฉัยเราก็บอกไม่ได้ว่าจุดเริ่มต้นมันมาจากตรงไหน อย่างที่เห็นคือพี่ตูนเป็นคนใช้ร่างกายเยอะมาก มันเหมือนเป็นอาการสะสม ไม่ใช่เป็นเฉียบพลัน มันมาจากการที่เขาใช้ร่างกายแบบนี้มาเป็นะระยะเวลานาน”

“อย่างเวลาวิ่งก็จะวิ่งระยะไกลๆ เล่นคอนเสิร์ตเขาก็มีการใช้ร่างกายเต็มที่ เลยเป็นอาการที่สะสม เขาก็จะมีอาการปวดคอ ปวดหลัง มีอาการชา ซึ่งเป็นมาตลอดอยู่แล้ว แต่มาเห็นชัดๆ ช่วงหลังแต่งงาน คือมีวันหนึ่งที่เขาตื่นเช้าขึ้นมา เขานั่งเล่นกีต้าร์ แล้วเขาก็รู้สึกว่ากดคอร์ดกีต้าร์ไม่ได้เหมือนเดิม เลยรู้สึกว่ามันผิดปกติแล้วก็เลยไปหาหมอ”

“เหมือนร่างกายเขาฟ้องขึ้นมาเรื่อยๆ ว่ามีอาการแบบนี้ เรื่องอาการก่อนแต่งงานก็มีมาบ้าง แต่เวลาเขาเป็นอะไรเขาจะไม่พูด แต่เราจะรู้เพราะเราใกล้ชิด ที่ผ่านมาก็ทานยารักษาตามอาการไป ยังไม่ได้รักษาจริงจัง จนช่วงหลังแต่งงานแล้วไปวิ่งพอกลับมาอาการก็เริ่มชัดขึ้น”

อาการป่วยของตูนต้องรักษาโดยการผ่าตัดไหม? “ตอนนี้ยังไม่มีการผ่าตัด คืออาการของพี่ตูนสามารถรักษาได้โดยการทำกายภาพ แล้วช่วงเวลาที่อยู่โรงพยาบาลคุณหมอก็ดูแลอย่างดีมากๆ ก็รักษาให้ยาต่างๆ ตอนนี้ก็ทำกายภาพเป็นส่วนใหญ่ อาการของพี่ตูนแยกเป็น 2 ส่วน คือเรื่องหมอนรองกระดูกก็เรื่องหนึ่ง เรื่องที่ปลายประสาทอักเสบก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”

พอทราบว่าป่วย ตูนและก้อยรู้สึกอย่างไรบ้าง? “จริงๆ มันเหมือนกับว่าร่างกายเขาพยายามมาบอกอะไรบางอย่างกับเรา คือก้อยรู้สึกว่ายังโชคดีที่ไม่หนักจนถึงขั้นต้องผ่าตัด คือเมื่อ 10 ปีก่อนพี่ตูนเคยเป็นที่หมอนรองกระดูกครั้งแรก ตอนนั้นเป็นอะไรที่เฉียบพลัน เกิดจากการที่เขาเล่นคอนเสิร์ตแล้วเล่นผิดท่า แต่ครั้งนี้มันเป็นอาการสะสม”

“ดังนั้นหลังจากนี้ไป เมื่อคุณรักษาหายแล้ว วิธีการใช้ชีวิต ไลฟ์สไตล์ต่างๆ ที่ส่งผลกับร่างกายก็อาจจะต้องเปลี่ยนแปลงไป ก้อยว่าเป็นเวกอัพคอร์อย่างหนึ่ง คือพี่ตูนเขาเป็นคนที่ใจเขาแข็งแรงมาก เขาก็จะคิดว่าร่างกายเขาต้องแข็งแรง ซึ่งที่ผ่านมาเขาเป็นคนที่ทำอะไรก็จะทำแบบเต็มที่มากๆ”

“หลังจากนี้ไปเราก็มาคุยกันว่า บางอย่างที่เราเคยทำแล้วมันหนักเกินไป หรือการที่เรายืมพลังในอนาคตมาใช้ก่อนล่วงหน้า ตอนนี้ร่างกายเขากำลังบอกอะไรเราอยู่ จากนี้ก็ต้องเปลี่ยน ยังวิ่งได้ คือโรคนี้ต้องใช้ระยะเวลาในการรักษา ด้วยความที่ไม่ได้ผ่าตัด การกายภาพก็ต้องใช้เวลานานขึ้น ก้อยว่ามันต้องใช้เวลาให้เขาดีขึ้น แล้วก็กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนเดิม แต่อาจจะไม่ได้วิ่งไกลๆ เป็นร้อยโล คงไม่มีแล้ว”

ยาที่หมอให้กับยาใจที่ดูแลตูนโอเคไหม? “(หัวเราะ) มันต้องไปด้วยกันเนอะ เพราะเวลาคนป่วยจิตใจก็จะห่อเหี่ยวตาม เราก็ต้องทำใจให้เราแข็งแรงเข้าไว้ คือถ้าร่างกายป่วยแล้วใจป่วยไปด้วย มันยากที่จะดึงกลับมา เราก็พยายามให้กำลังใจ และซัพพอร์ตเขาในทุกๆ ทาง ที่เราจะทำได้ คือร่างกายหนักแล้ว อย่าให้ใจเครียดตามไปด้วย”

“ก้อยมั่นใจว่าอย่างไรก็ต้องหาย คือเราเคยเห็นเคสประมาณนี้ หรือคนที่ป่วยหนักกว่านี้ เขาก็ยังกลับมาใช้ชีวิตตามเดิมได้ ส่วนหนึ่งมาจากใจล้วนๆ เราก็จะบอกเขาว่าพี่ตูนเป็นตอนนี้เดี๋ยวก็หาย เดี๋ยวก็กลับมาวิ่งได้ เดี๋ยวก็กลับมาใช้ชิวิตเหมือนเดิมได้ เพียงแต่ว่าหลังจากนี้เราอาจจะต้องปรับการใช้ชีวิตนิดหนึ่ง เล่นคอนเสิร์ตอาจจะไม่ได้ปีนป่าย แล้วกระโดดลงมาอีกแล้ว”

ได้เรียนรู้จากการที่ตูนป่วยครั้งนี้ด้วย? “มันเหมือนเป็นสัจธรรมชีวิต คือช่วงหลังแต่งงาน ก้อยรู้สึกว่าชีวิตเรามีความสุขจังเลย คือตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่จิตใจพองโต วันแต่งงานหรือหลังแต่งงาน มันคือวันที่ชีวิตคู่ได้ก้าวเข้าสู่สถานภาพจากแฟนมาเป็นคู่ชีวิต แล้วเราเริ่มต้นที่จะเป็นสามีเป็นภรรยา หรือในอนาคตจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ก้อยมีความสุขมากๆ”

“แล้วจู่ๆ ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ตอนนี้มีความสุขแล้วถ้ามันมีอะไรที่เป็นความทุกข์เข้ามาแบบเฉียบพลัน เราจะเป็นอย่างไร เราจะรับมือกับมันอย่างไร เพราะตอนนี้มันสุขมากเหลือเกิน แล้วทันทีที่คิดมันก็มาเลย เราก็เลยเรียนรู้ได้ทันทีเลยว่ามันเป็นสัจธรรมชีวิต สุขอยู่กับเราไม่นาน ความทุกข์ก็อยู่กับเราไม่นานเช่นกัน ทุกอย่างมีเกิดดับ คือถ้ามีความสุขก็ให้มีความสุขแบบมีสติ พร้อมที่จะรับมือกับเหตุการณ์ทุกอย่างที่กำลังจะเข้ามา เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”

“แล้วเราก็นึกถึงเพลงที่พี่ตูนแต่งให้ในวันแต่งงาน ชื่อเพลงว่า “เวลามีน้อย” คือเขาจะพูดอยู่ตลอดว่าเวลามีน้อยนะ ใช้เวลาในชีวิตนี้ให้คุ้มค่า ให้ดีต่อกัน โกรธก็ให้รีบหาย เราก็เลยรู้สึกว่าชีวิตหลังแต่งงานมันมีอะไรให้เราเรียนรู้ และหลังจากวันนี้ไปเราก็จะทำให้ทุกๆ วันให้ดีที่สุด จะได้ไม่เสียดายที่หลัง”

“เพลงที่พี่ตูนแต่งให้ก้อยในวันแต่งงาน อาจจะไม่ใช่เพลงรักซะทีเดียว แต่มันคือเพลงที่เตือนสติให้เราระลึกการใช้ชีวิตอยู่เสมอ คือท่อนฮุกมันจะร้องว่า “เวลามีน้อย ฉันขอใช้มันอย่างใจ ได้มีชีวิตมีความรักมอบให้ใคร ถ้าหากถึงวันสุดท้ายของลมหายใจ จะไม่เสียดาย เพราะหัวใจ เพียงพอแล้วได้รักเธอ” ตอนฟังน้ำตาไหล พูดตอนนี้เราก็ยังตื้นตัน”

ตอนเข้าโรงพยาบาล เราทราบจำนวนวันไหม? “ตอนแรกไม่ทราบ จนอยู่ไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็อยู่โรงพยาบาล 15 วัน ตอนนี้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในช่วงกายภาพ พี่ตูนสามารถกลับมาวิ่งได้แต่ต้องไม่หักโหมมาก อาจจะออกกำลังกายเบาๆ ได้ แต่อาการอ่อนแรงก็ยังมีอยู่นิดหน่อยซึ่งต้องใช้เวลา”

วางแผนเรื่องการมีลูกอย่างไร? “ตอนนี้ก็พร้อมแล้ว มีการตรวจสุขภาพก่อนมีลูก ตรวจมาก็โอเค อย่างน้อยก็ต้อง 2 คนเพราะเราอยากให้มีพี่น้องกัน แต่พี่ตูนเขาอยากมีลูกเยอะๆ เขาเคยบอกก้อยว่าอยากมี 4 คน แต่ต้องดูก่อนว่าร่างกาย ความสามารถของพ่อกับแม่เป็นอย่างไร ส่วนเรื่องเพศ เราอยากให้เป็นไปตามธรรมชาติมากกว่าเพราะตัวก้อยเอง มีหลานทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ก้อยก็เลยไม่ต้องเลือกว่าจะต้องเป็นผู้หญิง หรือผู้ชาย เราก็รักหมด”

“ตอนนี้ก็ปล่อยตามธรรมชาติประมาณครึ่งปีก่อน ถ้ายังไม่มาแล้วค่อยพึ่งวิทยาศาสตร์ แต่เราอยากให้เป็นตามธรรมชาติเพราะเรารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่พ่อและแม่ต้องไม่เครียด ส่วนพี่ตูนก็อะไรก็ได้ แต่เป้าหมายในชีวิตของเราตอนนี้คืออยากให้เขาแข็งแรง ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเขาเอง แต่เพื่อวันหนึ่งที่เรามีลูกเราจะได้ดูแลลูกอย่างดีที่สุด”

อาการป่วยตอนนี้ไม่มีผลกับการมีลูกใช่ไหม? “ไม่มีค่ะ (หัวเราะ) (มีไปขอลูกกันบ้างไหม?) อย่างที่ไปทำบุญเวลาเราอธิษฐาน หรือพระอวยพร ท่านก็จะอวยพรให้มีอภิชาตบุตรมาเกิด เวลาเราไหว้พระ เราก็ขอพรถ้ามีลูก ขอให้ลูกแข็งแรงครบ 32 เพราะมันเป็นสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนอยากได้มากที่สุดคืออยากให้ลูกแข็งแรง”
ติดตามชมรายการ คุยแซ่บShow ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา13.30-14.30 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama
คลิปสัมภาษณ์ ก้อย รัชวิน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน