แตงโม นิดา เจอพิษศัลยกรรมหนักสุด โต้เสพติดมีดหมอ ยันไม่คิดฟ้องร้องคลินิก เผยไร้งานร่วมปี กินเงินเก่า-ขายรถ เมินคนมองตกอับ

กดติดตามไลน์ ข่าวสด official account ได้ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

หลังทำเอาหลายคนตกใจและส่งความห่วงใยมาถึงดาราสาวชื่อดัง แตงโม นิดา กันอย่างมากมาย หลังเจ้าตัวออกมาเปิดเผยว่า เจอพิษศัลยกรรมจากการผ่าตัดที่ผิดพลาด เส้นประสาทถูกตัด ทำให้หน้าผิดรูป จนไม่สามารถรับงานละครได้ รวมถึงมีปัญหาเกิดขึ้นกับชีวิตเยอะมาก อีกทั้งยังป่วยเป็นโรคซึมเศร้า

ล่าสุดเมื่อวานนี้(10 มี.ค.64) “ข่าวสดบันเทิงออนไลน์” มีโอกาสได้สอบถาม แตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์ ถึงเรื่องดังกล่าว พร้อมอัพเดตอาการ รวมถึงการใช้ชีวิตในช่วงนี้

ถามถึงเรื่องหน้าเบี้ยวผิดรูป หลังเพิ่งรู้ว่าเส้นประสาทโดนตัด? “จริงๆ แล้วเรื่องของเรื่องคือเมื่อก่อนนี้โมฉีดฟิลเลอร์ค่อนข้างเยอะ ไม่ได้มีการผ่าตัดใส่ซิลิโคนอะไร ทีนี้ฟิลเลอร์มันก็คือสิ่งแปลกปลอมอย่างหนึ่งเหมือนกันที่เข้าไปในร่างกายของเราเมื่อเวลามันอยู่นานๆ สักประมาณ 10 ปีก็จะเริ่มมีปัญหา เริ่มทำให้ผิวหนังเราแดงขึ้น”

“โมเลยมีความรู้สึกว่าถ้าอย่างนั้นก็ตัดสินใจขอขูดฟิลเลอร์ออกแล้วใส่ซิลิโคนดีกว่า แต่การผ่าตัดขูดฟิลเลอร์ออกบางทีความเสียหายแต่ละคนมันไม่เท่ากัน ของเรามันดันเสียหายค่อนข้างเยอะก็อาจจะไปโดนทั้งเส้นประสาทและกล้ามเนื้อบางส่วน เลยทำให้ตอนนี้โมจะรู้สึกชาเหมือนคนที่ไปทำฟันมาแล้วมันไม่หายชาสักที แล้วคุณหมอก็จะบอกว่ามันสามารถที่จะประสานกันเองได้แต่ต้องใช้เวลาและการรักษาต่างๆ เช่นการนวดหรือการฝังเข็ม”

อาการถือว่าดีขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ถ้าเทียบจาก 100% ? “โมให้ 80 เลยค่ะ เพราะเมื่อก่อนนี้ 50 เองนะ เมื่อก่อนเนี่ยหนักกว่านี้นะ มันเกิดจากการที่มีพังผืด สมมติเราไปผ่าตัดปุ๊บการผ่าตัดมักจะเกิดพังผืดเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อของเราขึ้นมา ทีนี้โมเป็นคนที่พังผืดเยอะมาก จนในระยะยาวมันเลยกลายเป็นแบบนี้”

ตอนนี้รักษาด้วยวิธีใดอยู่บ้าง? “มันจะมีเครื่องกระตุ้นที่เป็นไฟฟ้าช็อตอ่อนๆ แล้วก็กำลังจะไปฝังเข็ม แล้วก็ใช้วิธีนวดอยู่ตอนนี้กับทานยา (โอกาสที่จะกลับมาหายปกติ 100% ?) อันนี้มันขึ้นอยู่กับคนแล้วแต่ว่าอาการเรามันเยอะแค่ไหน หมอก็ยังไม่ได้ไปให้คุณหมอเขาเช็กละเอียดว่ามันเสียหายไปเยอะมากขนาดไหน แล้วเมื่อไหร่ถึงจะกลับมาเป็นปกติ”

ครั้งนี้ถือว่าเจอพิษศัลยกรรมหนักที่สุดเลยไหม? “ใช่ค่ะ จริงๆ ถามว่าเข็ดมั้ย เรื่องของเรื่องเลยโมจะไม่ทำศัลยกรรมถ้ามันไม่ได้มีอะไรพัง ที่โมทำคือมันเป็นผลต่อเนื่องมาจากการที่โมเคยรถคว่ำ โมเย็บ 140 เข็มที่หน้ามันเลยมีพังผืดเยอะอยู่แล้วทุกรอยเย็บ แล้วเวลาเราแก่ลงหน้าเราเหี่ยวลงแต่ตรงที่เราเย็บมันยังตึงอยู่”

“โมเลยต้องเก็บรายละเอียดตรงนั้นตรงนี้อยู่บ่อยมากๆ เหมือนเราต้องซ่อมบำรุงมันอยู่ตลอดเวลามากกว่าคนอื่น เพราะฉะนั้นถ้ามันคงรูปปกติแล้วมันจบโมจบอยู่แล้ว แต่ถ้าวันหนึ่งมันเกิดอะไรขึ้นอีกจากรอยเย็บเก่าหรือว่ากล้ามเนื้อเก่าที่เราเคยประสบอุบัติเหตุโมก็คงจะต้องทำเพื่อให้มันดีขึ้น”

ยืนยันว่าไม่ได้เสพติดศัลยกรรม แต่ทำเพราะใช้หน้าทำมาหากิน? “มันจำเป็นอะค่ะ หลังจากนี้ถ้าเกิดรักษาตรงนี้หายแล้ว คือจบ (จะไม่ทำศัลยกรรมอีกแล้วใช่ไหม?) ถ้าหายดีขึ้นจริงๆ ก็คือจะไม่ทำแล้ว อย่างน้อยก็แค่โบทอกซ์ ฟิลเลอร์ ทรีตเมนต์หน้าใสคือเราคงขาดไม่ได้หรอกสิ่งเหล่านี้”

หลังจากที่มีข่าวออกไปกระแสที่เข้ามาเป็นยังไงบ้าง? “เอาจริงๆ แล้วมันก็มี 2 ส่วน ส่วนที่บูลลี่ก็มี แต่ส่วนที่ให้กำลังใจเราก็มี โชคดีว่ายุคนี้มันเป็นช่วงที่นิวนอร์มัลแล้ว เราอยู่กันในโลกของปัจจุบันและโลกที่กำลังจะดำเนินไปในอนาคต เด็กยุคใหม่หรือคนสมัยใหม่ความคิดเขาเปลี่ยนไป เขาเลิกบูลลี่กันแล้ว

“เพราะฉะนั้นโมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่เป็นในช่วงที่แบบไม่เหมือนตอนเด็กเด็กที่โมเป็น เมื่อก่อนตอนเด็กๆ โมเป็นข่าวทีหนึ่งคนก็รอเหยียบซ้ำๆๆ แต่ทุกวันนี้สังคมมันเปลี่ยนไปแล้ว ใจดีต่อกันมากขึ้น โมก็ต้องขอขอบคุณทุกกำลังใจเลย”

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้คิดอยากจะทำศัลยกรรมอยู่ไหม? “ทำค่ะ ทำเพราะว่า ณ เวลานั้นเราต้องแก้ส่วนที่พังด้วยเหมือนกัน ถ้าเวลานั้นเราไม่แก้มันก็ไม่ได้ เล่นละครก็ไม่ได้เหมือนกัน อย่างเช่นใบไม้ที่ปิดปลิวทุกคนบอกหมดว่าคางโมยาวอย่างกับกรวยไอติม จะไม่แก้ได้ยังไงอะ นึกออกมั้ยคะ แต่พอแก้ผลออกมาเป็นแบบนี้เราก็โทษคุณหมอเขาไม่ได้หรอก เพราะเราก็เป็นคนเซ็นใช่มั้ยว่าเราตัดสินใจให้เขาเป็นคนลงมือ และเขาไม่ได้รับผิดชอบอะไรกับเรา”

แสดงว่าไม่ได้คิดจะฟ้องร้องทางคลินิก? “ต้องบอกก่อนว่าที่เกาหลีการทำเอกสารมันยาก แล้วจะบอกว่าที่เกาหลีที่โมทำเนี่ยไม่ว่าจะการขูดออกหรือการทำให้มันดีขึ้นที่โมไปปรึกษาทั้งหลาย มันไม่ได้มีแค่โรงพยาบาลเดียวที่โมไป ไม่ว่าจะเป็นเกาหลีหรือไทยโมเข้าไปหลายที่มากๆ ถ้าถามถึงการฟ้องร้องมันเรื่องใหญ่โตมากเลยนะ”

“แล้วถามว่าเราจะไปฟ้องเขาทั้งหมดมันยุติธรรมหรือเปล่าในเมื่อเราเป็นคนเซ็นเอง เขามีสัญญามาให้เราเซ็นแล้วอะ เราเป็นคนตัดสินใจเองนะว่าจะให้เขาทำ ทั้งๆ ที่เขาบอกแล้วว่าผลของการผ่าตัดในแต่ละคนที่จะออกมามันขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลด้วย มันไม่เหมือนกัน”

“เพราะฉะนั้นส่วนหนึ่งมันก็คือความผิดของเรานะ โมก็เลยไม่คิดที่จะฟ้องใคร ข้อเสียอย่างหนึ่งของโมคือตอนที่โมทำโมไม่ยอมอยู่ครบ 7 วันเพื่อให้หมอเกาหลีดูแผล โมกลับมารักษาเอง พอทำเสร็จแล้วก็บินกลับเลย”

อยากจะฝากเตือนอะไรถึงสาวๆ ที่อยากจะทำศัลยกรรม? “โมแนะนำว่ายุคนี้มันเป็นยุคของหน้าเรียล มันไม่ใช่ยุคของโม ยุคโมคือต้องยุคหน้าโซนช่อง 7 อะ มันจะบล็อกเดียวกันหมดนึกออกมั้ยคะ แล้วมันเป็นยุคของเกาหลีฟีเวอร์ ใครดูซีรีส์เกาหลีก็ต้องอยากที่จะสวยเหมือนนางเอกเกาหลีอะ”

“แต่ยุคนี้มันเป็นยุคที่แบบธรรมชาติที่สุดคือสวยมาก เรียลที่สุด ทำน้อยที่สุด ดูน้องออกแบบ(ชุติมณฑน์) สวยมาก ไม่ทำอะไรเลย อะไรแบบเนี้ยคือมันเป็นยุคของแบบนั้นแล้ว โมก็อยากจะให้คนที่คิดจะทำใจเย็นๆ แบบไหนที่เราได้รับผลตอบรับที่ดีรับคำชมที่ดีเราต้องเชื่ออันนั้นนะว่าเราสวยแล้ว”

แล้วที่บอกว่าตอนนี้ไม่มีงานเลยคือยังไง? “ด้วยความที่โมก็ค่อนข้างที่จะเกรงใจคนที่เขาจะจ้างงาน ว่าเรายังเป็นแบบนี้ ในเรื่องการจ้างงานยังไงเนี่ยใจโมก็รักการแสดงอยู่แล้ว แล้วก็รักวงการอยู่แล้ว แต่ว่าด้วยความที่เรายังไม่ 100% ก็เกรงใจผู้ใหญ่ว่าจะทำงานให้เขาได้ไม่เต็มที่เพราะว่าผลงานใครใครก็อยากที่จะตั้งใจทำออกมาให้ดีที่สุด”

“โมก็เลยขอเวลาที่จะรักษาตัวก่อน แต่ถ้าจะเป็นงานอย่างอื่น เช่น ภาพนิ่ง รีวิว หรือจะเป็นรายการต่างๆ โมก็ยังวนเวียนออกก็ยังจะเห็นโมอยู่ในจอทีวีอยู่ แต่อย่างละครโมคิดว่ามันต้องใช้หน้าตาในการแสดงอารมณ์ค่อนข้างเยอะ แต่เราไปสุดไม่ได้ แสดงสุดไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราก็ขอไปทำตัวเองให้มันพร้อมก่อน”

หายไปนานแค่ไหน? “น่าจะปีกว่า รายได้หายไปเยอะมาก ตอนนี้ก็ต้องบอกตรงๆ ว่ากินเงินเก่า แล้วก็ใช้เงินลูกแล้วด้วย รถตู้ขายแล้วค่ะ”

พอบอกว่าตอนนี้ขายรถ แล้วก็ของานรีวิว คนเลยมองว่าแตงโมตกอับแล้วหรือเปล่า? “ถ้าจะมองว่าโมตกอับเนี่ย โมคิดว่าใครๆ ก็ตกอับ ณ เวลานี้ คืออาจจะไม่ถึงกับตกทุกข์ได้ยากมากขนาดนั้นแต่ทุกคนมีการใช้เงินของอนาคตไปแล้วทุกบ้าน”

“คำว่าตกอับของโมโมเลยรู้สึกว่ากับยุคนี้มันเฉยๆ เพราะใครๆ ก็เป็น แล้วเราจะปรับตัวเราให้อยู่กับยุคนี้ได้ยังไง เพราะฉะนั้นอะไรที่ไม่จำเป็นขายออกขายออก เอาชีวิตรอดเอาชีวิตรอดให้อยู่ ยังไงก็ได้ให้เรามีตังค์จ่ายค่าเทอมลูกและส่งเสริมลูกให้ทำกิจกรรมที่ชอบได้”

ตอนนี้ขายอะไรไปบ้างแล้ว? “รถตู้ 1 คันค่ะ ถามว่ามีแนวโน้มที่จะขายอะไรอีก แนวโน้มคืออย่างเช่นดารามีทำไมโทรศัพท์ 2 เครื่อง เลยคิดว่าจะขายโทรศัพท์ออกเครื่องหนึ่ง อะไรพวกนี้ของจุกจิกที่แบบ…เมื่อก่อนเราเคยซื้อเสื้อผ้าชอบมากเลยซื้อทีเดียว 5 สี รุ่นเดียวกันแบบเดียวกันแต่ 5 สี ซื้อทำไม เราก็อาจจะต้องแบ่งปันไปให้คนอื่นที่เขาอยากจะรับต่อด้วย”

“แล้วเมื่อก่อนสมัยตอนที่คุณพ่อยังอยู่ โมไม่เคยแตะเรื่องเงินของที่บ้านเลย ไม่รู้เรื่องไม่ได้บริหาร คุณพ่อจะเป็นคนถือเงิน พอมาถึงยุคคุณพ่อเสียเราก็ชอกช้ำใจไปแล้วเรื่องหนึ่ง แถมเรายังจะต้องมาเป็นเสาหลักโดยเต็มตัวที่จะต้องมานั่งบริหารอย่างอื่น ต้องรับผิดชอบชีวิตหลายๆ ชีวิตที่เขาก็ยังอยู่ภายใต้บริษัทเรา ลึกๆ แล้วมันก็ค่อนข้างเหนื่อย แต่จะให้ออกมาบอกว่าเราเหนื่อยมาก คิดมาก เครียด ทุกข์มาก บ่นมากก็ไม่ได้เพราะว่าทุกคนก็เครียด”

เคยน้อยใจชีวิตไหมเจอแต่เรื่องหนักๆ ทั้งนั้น? “เมื่อก่อนนี้เคยน้อยใจ แต่ทุกวันนี้โมมาคิดอีกมุมหนึ่งว่าโมเนี่ยเหมือนเป็นตัวเปิดให้กับหลายๆ เรื่อง รูปหลุดก็ตัวเปิด เปิดตัวแฟนก็ตัวเปิด แต่งงานตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นก็ตัวเปิด ห้ามฝากร้านก็ตัวเปิด แล้วโมเป็นคนโดนฝ่ายเดียว โมก็เลยคิดว่าถ้าโมจะเป็นผู้รับฝ่ายเดียวแต่คนที่ตามมาข้างหลังเขาสบายโมยินดี”

แสดงว่าตอนนี้ก็ไม่ได้มองว่าชีวิตตัวเองย่ำแย่? “อื้ม…เราต้องอยู่กับมันให้ได้ เพราะวันนี้เราไม่มีคุณพ่อแล้ว เราไม่มีที่ปรึกษาแล้ว เราต้องเข้มแข็งให้ได้ถึงแม้ในใจเราจะเจ็บปวดขนาดไหนก็ตาม เรายังมีพระเจ้าที่คอยอยู่กับเรา”

หลังจากนี้คิดว่าจะเริ่มกลับมารับงานแสดงเมื่อไหร่? “อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ผู้ใหญ่เมตตาเลยค่ะ แล้วแต่พิจารณาเลยนะคะถ้าอยากให้โมมีค่าเทอมลูก(หัวเราะ) แล้วก็ค่าดำเนินชีวิตรักษาตัวต่อไป จ้างได้นะคะยินดีเพราะว่าว่างเหลือเกิน ทุกวันนี้ใช้ชีวิตก็คือทำกิจกรรมกับลูกเกือบทุกวัน”

ฝากถึงแฟนๆ ที่ให้กำลังใจและส่งความห่วงใยมาถึง? “ขอบคุณจริงๆ เลยค่ะเพราะนั่นคือกำลังใจหลักที่ทำให้โมอยู่ได้ แล้วก็ฝากให้กำลังใจไปเรื่อยๆ รวมถึงโมฝากลูก ยังไงฝากสนับสนุนอีสเตอร์ด้วย โมก็ไม่รู้ว่าในอนาคตข้างหน้าโมจะส่งเขาได้ถึงแค่ไหน ถ้าเกิดว่าเห็นแก่เด็กตาดำๆ(ยิ้ม) ที่มีซิงเกิลมัมอย่างคุณแม่ของเขา โมก็ฝากลูกด้วยแล้วกัน”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน