แอน สิเรียม เปิดใจหมดเปลือก เผยสุดช้ำในอดีต เคยโดนบูลลี่หนักเป็นฝรั่งขี้นก-แม่หม้ายลี้ภัย แนะเคล็ดลับสวยหุ่นเป๊ะในวัยย่าง 50

เกาะติดข่าว กดติดตามข่าวสด
เพิ่มเพื่อน

แอน สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์ เปิดใจหมดเปลือก นางเอกดังในอดีต พร้อมปรับตัวเข้ากับยุคสมัยโลกโซเชียล เผยความเจ็บปวดเมื่อครั้งโดนบูลลี่เป็นฝรั่งขี้นก จนไม่อยากเป็นลูกครึ่ง ปัจจุบันกลับเข้าสู่วงการอีกครั้ง กับบทบาทสีสันชีวิตใหม่ พร้อมเสียงชื่นชม กาลเวลาไม่สามารถทำอะไรเธอได้ ในวัยย่าง 50 ที่สวยหุ่นเป๊ะมาก พร้อมแนะเคล็ดลับการดูแลตัวเอง

ย้อนอดีตไปเมื่อสมัยเป็นนางเอกดัง? “แอนเริ่มสตาร์ทมาตั้งแต่อายุ 14-15 เล่นละคร หนังใหญ่ เป็นนางแบบ ค่อนข้างหลากหลายในเวลาเดียวกัน ทำให้เราไม่มีเวลาเที่ยวเตร่สังสรรค์เท่าไหร่ ชีวิตในวัยเด็กที่ผ่านมาทำงานล้วนๆ”

ในยุคนั้นมีพระเอกและผู้จัดฯ หลายท่านอยากร่วมงานกับเรา?

“ในยุคนั้นอาจจะเป็นเพราะว่านักแสดงลูกครึ่งไม่ได้มีเยอะมาก จะมีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น งานก็จะมีแน่นตลอด”

งานโปรดักชั่นสมัยก่อนเป็นอย่างไร?

“สมัยแอนตอนนั้น ส่วนมากจะถ่ายไปออกอากาศไป มันก็เลยไม่มีเวลาเตรียมตัวอะไรเยอะมาก ต้องอาศัยไหวพริบ เราต้องจำบทให้ได้ เราห้ามไม่สบาย ห้ามป่วย เพราะถ่ายไปปุ๊บก็ขี่มอเตอร์ไซต์ไปส่งฟิล์มเลย มันก็แปลกดีค่ะ ตัวแอนเองจะตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา”

ยุคนั้นยังไม่มีโซเชียล?

“ใช่ๆ ตอนก่อนที่แอนจะกลับมาก็ปรับตัวเยอะเหมือนกัน เราต้องศึกษาว่ายุคปัจจุบัน เด็กเจน Z เขาทำอะไร เขาใช้ชีวิตกันยังไง แล้วเราก็ค่อยๆ ปรับปรุงตัวเองให้สามารถเรียนรู้และอยู่ในโลกใบนี้ ต่อสู้ชีวิตไปต่อได้ เพราะแอนมองว่าทุกอย่างมันเปลี่ยนไปทั้งนั้น มันไม่มีอะไรที่อยู่นิ่ง ดังนั้นตัวเราเองต้องปรับให้เข้ากับยุค เข้ากับโลกใบนี้ เพราะว่าโลกไม่ได้หมุนตามเรา”

ระวังตัวมากขึ้นไหมในยุคโซเชียล?

“มันก็ไม่ได้ถึงขนาดนั้น ไม่งั้นชีวิตคงไม่มีความสุข เราไม่ได้ทำอะไรผิดขนาดที่ต้องระแวดระวังอะไรขนาดนั้น แอนมองว่าคนยุคปัจจุบันต้องการความจริง จะมาทำโน่นทำนี่เพื่อสร้างกระแสให้ตัวเองดูดี มันไม่ได้อีกแล้ว แอนว่าคนยุคปัจจุบันเขาปรับตัว เขาเรียลมากขึ้น จริงมากขึ้น เป็นตัวของตัวเอง ถ้ามันเป็นความจริงมันก็ยังเป็นความจริงวันยังค่ำ ตอนที่แอนแต่งงานกับคุณจัสตินใหม่ๆ แอนก็มีความกังวลใจเพราะว่าครอบครัว สังคม ตั้งแต่แอนเป็นลูกครึ่ง ตอนเด็กๆ เราก็จะถูกบูลลี่มาตั้งแต่เด็กๆ ว่าฝรั่งขี้นก แม่มีตาน้ำข้าว ฝรั่งตาน้ำข้าว แอนก็จะโดนรู้สึกตอกย้ำการที่คนไทยจะแต่งงานกับชาวต่างชาติ มองแล้วมันเป็นเรื่องที่ดูแล้วไม่ค่อยน่าพอใจเท่าไหร่นักในสังคมยุคก่อน”

เจอมากับตัวกับคำพูดแบบนี้?

“ใช่ เราเจอมา เราก็จะมีความรู้สึกว่าเราไม่อยากเป็นลูกครึ่งเลย ไม่ชอบเลย ไม่เห็นสวยเลย หน้าก็ตกกระ คือไม่มีอะไรดี”

ช่วงที่งานในวงการมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ทำไมเลือกไปอยู่ต่างประเทศพักหนึ่ง?

“แอนก็ไม่ได้โด่งดังอะไรนะคะ ก็เป็นขาลงของตัวแอนนะ หมดจากการเป็นนักแสดงเป็นตัวเอก ก็เปลี่ยนบทบาทมาเป็นพิธีกร เป็นเหมือนช่วงวัยช่วงจังหวะมันเต็มแล้ว ล้นกับอาชีพการแสดง เราอยากจะลองทำอะไรที่เราไม่เคยใช้ชีวิตบ้างก็เลยตามไปดูแลลูกที่โน่น ซึ่งเราเองก็มีครอบครัว หมายถึงมีน้องสาว มีพี่สาวที่มีครอบครัวอยู่ทางโน้นอยู่แล้ว มันก็ไม่ได้ไปแบบไม่รู้จักใคร สำหรับแอนมันเป็นเรื่องท้าทายและตื่นเต้นมากๆ”

ไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ ไม่ได้ทำงานในวงการเลย?

“ไม่ได้ทำเลยค่ะ รู้สึกอิ่มตัวมากๆ แล้วก็หายไปเลย (หัวเราะ) ก็ดีเหมือนกันได้ไปใช้ชีวิตที่ไม่เคยได้ใช้ พอวันนี้เราอายุ 50 บางทีชีวิตมันก็ต้องการอะไรที่มันตื่นเต้นนอกจากการทำอยู่อย่างเดียว”

เฟดไปจากวงการกี่ปี?

“นานอยู่ 7-8 ปีได้มั้ย ก็หลายปีนะคะ กว่าจะปรับตัวได้ก็ 2-3 ปี ภาษาก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้น เพราะเราเป็นนักแสดงมาตลอด แล้วเราก็ไม่ได้อยู่กับพ่อมา แอนอยู่กับแม่มาตลอด แอน ต้องไปเรียนภาษาอังกฤษเพราะบางทีเขาเชิญผู้ปกครองไปแอนฟังไม่รู้เรื่อง(หัวเราะ) เราไปเรียนเทคคอร์สเอง แล้วลูกก็จะได้รู้สึกว่าเรามีพัฒนาการ แม่ก็ปรับตัวเรียนรู้ไปไหนเอง ขึ้นรถเมล์ ขึ้นรถไฟ ซื้อของทำการข้าว จัดบ้าน

ซึ่งเป็นสิ่งที่แอนไม่เคยทำเลย เป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ค่ะ เพื่อที่เราจะได้ดำเนินชีวิตของเราต่อไป เพราะเรามองว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่ดี แล้วลูกได้เห็นอะไรแตกต่างออกไป มันก็เป็นโอกาสที่ดีๆ ของเขา เขาจะได้เก็บประสบการณ์เหล่านี้มาใช้ในการดำเนินชีวิต ในกาทำงาน และทันโลกทันยุค เราก็คิดแค่นั้น เราเป็นแม่”

ได้กลับมาทำงานในวงการอีกครั้ง คราวนี้มาพร้อมกับสิ่งแปลกใหม่หลายๆ อย่าง? “ก็ใช่ค่ะ กลับมาเล่นก็มารับบทเป็นนางร้าย (หัวเราะ) พลิกดีค่ะ รู้สึกมีพลังในการเตรียมตัวเยอะ ได้มีโอกาสเป็นคอมเมนเตเตอร์ เป็นสิ่งที่ไม่เคยทำ มันก็ได้ทำอะไรที่ใหม่ๆ ดีค่ะ”

ต้องเคาะสนิมการแสดงใหม่เลยไหม? “เคาะเยอะค่ะ ตื่นเต้นค่ะ ได้กลับมาเล่นกับคนโน้นคนนี้ บทที่ต่างไป เราก็รู้สึกว่าจะเล่นยังไงให้เป็นตัวร้ายที่น่าสนใจ ไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่เขาเคยแสดงมาก่อน หลังจากนั้นก็จะได้รับเป็นตัวร้ายมาตลอดเลย แสดงว่าหน้าให้ (หัวเราะ)”

ไม่ซีเรียสกับบทใหม่ๆ ที่ได้รับแล้ว? “มุมมองวิธีคิดมันเปลี่ยนไปเลยค่ะ ตอนเป็นนางเอกเราจะห่วงสวย อุ๊ย สวยหรือยัง พร้อมเป๊ะมั้ย แต่พอเราเป็นนางร้ายปุ๊บ แอนจะรู้สึกว่าจะเล่นยังไงจะเล่นให้ดี จะเล่นยังไงให้คนไม่ลืมเราว่าเราเป็นนางร้าย ให้คนจำเราว่าเป็นการแสดงของเราที่มันฉีกไป”

ในไอจีของแอนช่วงหลังมานี้ มีลงภาพเซ็กซี่มาก? “ใช่ เพราะแอนมีความรู้สึกว่าในยุคปัจจุบัน ผู้หญิงวัย 50 ไม่จำเป็นต้องมีไลฟ์สไตล์แบบเดิมๆ บางทีเราไปเจอคนรู้จักมีลูกสองแล้ว ความเป็นแม่หรืออะไรก็แล้วแต่ เขายังสวย ยังหุ่นดีอยู่เลย ดังนั้นในวัย 50 ของเรา เราสามารถใช้ชีวิตให้มีความสุขได้ และมันมีความสุขกว่าสมัยก่อนด้วย เพราะว่าสิ่งผ่านมามันเป็นประสบการณ์ของเราทั้งนั้นเลยแล้วมันก็หล่อหลอมให้เราโตขึ้น และเรียนรู้ว่าเราจะเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น แอนมองว่ามันสนุกกว่าตอน แอนเป็นสาวๆ มากเลย ตอนตัวเองสาวๆ เรากังวลโน่นนี่ แต่เดี๋ยวนี้แอนมีความรู้สึกว่าโลกยุคใหม่เขาเปิด คุณเป็นตัวของตัวเองได้เลยชัดเจน ทุกคนยอมรับถ้าคุณไม่ได้ไปทำอะไรที่ผิดกฎหมาย หรือไปทำอะไรที่มันซ่อนเร้นผิดศีล”

คนชมว่ากาลเวลาไม่สามารถทำอะไรแอนได้ ยิ่งอายุเยอะขึ้นก็ยิ่งสวยขึ้น มีเคล็ดลับอะไรที่ทำให้ยังสวยแซ่บได้ขนาดนี้? “แอนว่าวิธีคิดค่ะ แอนมีความเชื่อว่าพอเราอายุเลข 5 แต่เราสามารถที่จะมีความสุขในชีวิตแล้วดำเนินชีวิตของเราให้ไร้กังวลได้ อาหารการกินก็คงต้องระมัดระวังมากขึ้น แต่แอนจะไม่ถึงขั้นซีเรียสว่าอันนั้นก็กินไม่ได้ อันนี้ก็กินไม่ได้ แอนก็จะกินในวันที่แอนอยากจะกิน เช่น ไปกินข้าวข้างนอก เราก็สามารถทานได้ไม่จำกัด และออกกำลังกายมีบ้างแต่ไม่ต้องเยอะ แอนก็ไม่ต้องการที่จะลีนแบบเห็นกล้ามเนื้อเหมือนขนาดเด็กๆ เขาทำ สิ่งที่แอนดูแลตรงนี้มันเกี่ยวกับการที่ปรับฮอร์โมนของเราด้วย เพราะว่าในวัยทอง ผู้หญิงที่จะก้าวเข้าสู่วัยทองก็ต้องดูแล เพราะร่างกายกับสมองมันลิ้งกัน ถ้าเราไม่เครียดมาก เราก็ดำเนินชีวิตขอเราต่อไปง่ายๆ เราไม่ได้ต้องการร่ำรวย หรือเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร เราใช้ชีวิตของเราให้มีความสุขอย่างที่เป็น แอนว่าแค่นี้พอแล้ว ฟังดูง่ายนะแต่มันก็ไม่ง่าย ก็ค่อยๆ ลองฝึกเปลี่ยนตัวเองดู”

เป็นไอดอลของสาวๆ วัย 50 ยังสวยเป๊ะ มีคอมเมนต์ลบบ้างไหม? “มีค่ะ มีคนชอบก็ต้องมีคนเกลียด มีคนหมั่นไส้ แต่แอนก็เป็นของแอนแบบนี้มาตั้งนานแล้วนะ เสมอต้นเสมอปลาย แอนไม่ได้ไปอวดเก่งอะไร แต่ถ้าคนที่จะไม่ชอบ เราก็ต้องยอมรับว่าเราอาจจะไม่ถูกสเป๊กเขา เขาอาจจะชอบอีกแบบหนึ่งก็ได้ ซึ่งแอนก็จะดูแบบง้องแง้งของแอนไปเพราะมันเป็นคาแร็กเตอร์ของแอนตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ไม่งั้นแอนจะไม่ได้เล่นเป็นนางเอกหน่อมแน้มมาตลอด(หัวเราะ) ก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกันก็ปล่อยวาง ให้เขาสบายใจถ้าเขาได้ด่าเราแล้วเขารู้สึกได้ระบายออกก็ต้องปล่อยเขา”

ไม่ได้ตอบโต้? “ไม่ๆ ค่ะ แก่แล้วไม่อยากจะไปตอบโต้อะไรใครแล้ว เรื่องของเขา ถ้าไปตอบโต้มันหนักเราเปล่าๆ ปล่อยวางค่ะ”

มีคำด่าอะไรที่เรารู้สึกว่าแรงเกินไปไหม? “แรงเกินไปหรอก็มีนะคะ สมัยก่อนช่วงแม่หม้ายลี้ภัย เยอะแยะไปหมด ตอนนั้นก็เครียดนะคะ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงได้ เพราะขนาดพระพุทธเจ้ายังต้องโดนติเนาะ มัน Nobody’s perfect ในสายตาคน เรื่องบางเรื่องแอนมีความรู้สึกว่าเรา ไม่จำเป็นต้องมานั่งแถลงการณ์ตลอดเวลา บางทีมันเป็นเรื่องส่วนตัวเรา ไม่จำเป็นต้องมาบอกทุกเรื่อง แอนเป็นดาราในยุคคาบเกี่ยวระหว่างยุคนั้นกับยุคนี้

ยุคนี้เขาจะต้องตั้งโต๊ะบอกกันทุกเรื่อง ตอนยุคนั้นมันเป็นยุคดาราส่วนตัวไม่เคยต้องโพสต์รูปทุกวันในอินสตาแกรม ไม่เคยที่จะต้องโชว์ความรู้สึกในเฟซบุ๊ก แอนก็มาเรียนรู้ปรับเรื่องพวกนี้นะคะ จริงๆ แล้วแอนเป็นคนส่วนตัวมากๆ เลย แอนก็ปรับตัวนะ ปรับให้เข้ากับยุคนี้และเข้ากับลูกด้วย แอนก็ยอมเปลี่ยนตัวเอง”

ผลงาน โฟโต้บุ๊ค? “พอเราอายุ 50 แล้ว มันเป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้แอนเป็นแอน แอนก็เลยอยากทำอะไรที่บ่งบอกว่าสาวอายุ 50 เราก็ยังสามารถที่จะใช้ชีวิตสนุกๆ ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ มันไม่จำเป็นว่าจะต้องจบด้วยการเลี้ยงลูกมา ลูกโตแล้วอยู่บ้านไม่ได้ทำอะไรเลย แอนมองว่าคน 50 ก็ยังทันสมัย ก็ยังใช้ชีวิตได้ตามปกติ”

คอนเซ็ปต์ของโฟโต้บุ๊คได้แรงบันดาลใจมาจากอะไร? “ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่านั้นเลย มีแค่รู้สึกว่าอายุ 50 แล้วอยากจะทำอะไรที่ให้แสดงแลกเปลี่ยนกัน เรายังคงความสวยอยู่นะ เราดูแลตัวเอง หุ่นรูปร่าง เราก็สามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติเหมือนตอนเราอายุ 30 อยากให้คนอายุ 50 รู้สึกมั่นใจและดำเนินชีวตให้สนุกมีความสุข มันเป็นหลักสำคัญมาก เพราะจาก 50 จะเป็น 60 เราก็ไม่รู้ว่าจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่

ในยุคนั้นความทรงจำของแอน ชอบถ่ายแบบ ถ่ายมาตั้งแต่วัยน่ารัก แล้วพอมาถึงยุคนี่ต้องถ่ายรูปอัพลงไอจี เราไม่สามารถดูเป็นเล่มได้แล้ว แม็กกาซีนได้จากโลกนี้ไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าเราจะอยู่ในยุคนี้ ก็เลยอยากจะทำเป็นเล่มเก็บไว้ให้กับแฟนคลับน้องๆ ทุกคน

จริงๆ ก็ได้ไอเดียมาจากแฟนคลับทำให้เรานี่แหละ เขาทำมาเป็นเล่มให้ตั้งแต่วันแรกที่รู้จักมาจนถึงวันนี้ สวยดี พอเราได้สัก 3-4 เล่ม เราก็หืม ขอแม่แซ่บหน่อยเถอะ(หัวเราะ) เสื้อผ้าก็ของตัวเองนี่แหละ ไม่ได้มีสปอนเซอร์ เอาไว้ดูสวยๆ เป็นที่ระลึกให้กับน้องๆ คนที่ชอบเรา”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน