พระเอกในตำนาน สรพงศ์ ชาตรี เผยว่า “บรรยากาศในวันนี้ ผมมาในฐานะติดตามท่านมุ้ย ท่านมีทีมงานเยอะ เขาประชุมงานกันเป็นอาทิตย์แล้ว ส่วนผมเพิ่งมา เลยรับสั่งจากท่านมุ้ย ท่านให้ดูแลความเรียบร้อยของประชาชน ให้ทำความเข้าใจกับประชาชนว่าเราจะถ่ายกันอย่างไร เวลาถ่ายแต่ละคนจะต้องทำตัวอย่างไร เช่นว่าช่วยกรุณาถอดหมวก หุบร่ม ถอดแว่นตาดำ หันหน้าไปทางสนามหลวง หันหลังให้วัดพระแก้ว คอยดูแลทีมนักแสดงว่าต้องอยู่ตรงจุดไหน ทำความเข้าใจกับประชาชนเพื่อไม่ให้เขาเบื่อ นำทีมนักแสดงขึ้นมาพูดให้กำลังใจประชาชน ว่าที่มาวันนี้ก็เพื่อพ่ออยู่หัวของเรา ไม่ว่ายังไงเราก็จะอยู่กับคุณ 4 ทุ่มใครมีแรงก็มาสู้กันอีก”

ภาพบรรยากาศที่เห็นในวันนี้รู้สึกยังไงบ้าง “ผมไม่เห็นมีใครมีสีหน้าเบื่อเลย ผมอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่ 7 โมง ยืนหันหลังให้วัดพระแก้ว เขาจองที่กันไม่ไปไหน ซึ่งเป็นมุมภาพที่หันหลังให้วัดพระแก้วเป็นมุมที่เราต้องการ ถ่ายทำเสร็จแล้ว เขาไม่ลุกไปไหน เขายังรอดูต่อ ผมไม่รู้สึกอยากกลับเลย เรียกว่าวันนี้คนมาแน่นเต็มพื้นที่ ผมเกิดมา 67 ปี ยังไม่เคยเห็นภาพนี้มาก่อน เป็นภาพที่เราดีใจแทนเขา เป็นความสุขเล็กๆในหัวใจเขา ที่ได้มาอยู่ในวันนี้ เป็นความภูมิใจความประทับใจ เราจะได้เล่าให้ลูกให้หลานฟัง ว่าบรรยากาศวันนี้เป็นอย่างไร”

กับการร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีวันนี้เป็นอย่างไร “มันรู้สึกเหงา มันว้าเหว่ มันไม่เหมือนกับที่เราร้องในครั้งผ่านๆมา วันนี้มันเหมือนเราร้องด้วยความสูญเสีย ความอาลัย ความรู้สึกมันเต็มไปด้วยความสูญเสีย อย่างเวลาได้เห็นท่านเสด็จมา ท่านจะโบกมือให้กับประชาชน วันนี้พอได้หลับตา นึกถึงความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อพระองค์ท่านมันรู้สึกเหงา”

พี่เอกเคยถวายงานท่านไหม “เคยเข้าเฝ้ารับรางวัลพระราชทานรางวัลตุ๊กตาทอง 2519 ผมได้รับรางวัลจากพระหัตถ์ท่าน ตอนนั้นอายุ 24-25 ปี เป็นครั้งหนึ่งในชีวิต เป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกว่ามันประทับใจมากอย่างไร หลังๆ ก็ได้มีโอกาสตามท่านมุ้ย เลยได้ตามไปกราบพระบาท ท่านมุ้ยก็แนะนำนี่สรพงศ์ ขับรถมาให้พ่ะย่ะค่ะ ก็ไปเข้าเฝ้าอย่างไม่เป็นทางการอยู่หลายครั้งเหมือนกัน”

ในสายตาพี่เอก ท่านเป็นคนอย่างไร “ท่านเป็นคนทำอะไรทำจริง ท่านมีทุกอย่างแล้ว ผู้คนสรรเสริญ แต่ท่านก็เลือกทำให้ประชาชนของท่านมีความสุข อย่างพวกเราทำ ก็อาจจำทำเอาลาภ เอายศ เอาตำแหน่ง เพื่อหน้าที่การงานที่สูงขึ้น แต่สำหรับท่านเอง ท่านมีหมดแล้ว ท่านมีทั้งลาภ ทั้งยศ ผู้คนชื่นชม เพียงแต่ว่าสิ่งที่ท่านทำเพื่อประชาชนนั้น ท่านทำแล้วมีความสุข ผมเคยไปถ่ายหนังที่ดอยตุง ไม่มีต้นไม้เลย กลับไปวันนี้มีทั้งน้ำ ผลหมากรากไม้ ประชาชนไม่ต้องปลูกฝิ่น ไม่ต้องหนี ไม่ต้องอยู่อย่างล่องลอย เขามีความสุข ตรงไหนที่แห้งแล้ง เมื่อท่านไป กลับมาก็จะร่มเย็น ตรงไหนที่ถนนไม่ลาดยาง ท่านเสด็จไปเมื่อไหร่ ที่นั่นจะเจริญ ในหลวงไปไหนที่ตรงนั้นจะเจริญ เป็นเรื่องที่น่าแปลก ท่านเอาน้ำไปหยดลงตรงไหน ต้นไม้ก็ขึ้น คนธรรมดาอย่างเราๆ ทำไม่ได้หรอก”

ต่อจากนี้จะทำอะไรถวายท่านอีกไหม “ผมสร้างพระพุทธเจ้ายาว 99 เมตร ก่อนหน้าก็เคยสร้างหลวงปู่โตถวาย ตอนพระองค์ครองราชย์ครบ 60 ปี ตอนนี้ท่านมุ้ยให้ผมสร้างพระนอนถวายบูรพมหากษัตริย์สยามประเทศทุกพระองค์ จะสร้างไว้ที่อำเภอสีคิ้ว ที่เดียวกับวัดที่สร้างหลวงปู่โต เราจะไปซื้อที่ขยาย จะให้อาจารย์เผ่า สุวรรณศักดิ์ศรี ที่เป็นศิลปินแห่งชาติออกแบบวิหารตัวอาคาร”

ทำไมถึงเลือกเป็นพระนอน “ตอนที่พระนเรศวรทรงทำยุทธหัตถี ท่านทรงไหว้ขอพรพระนอนที่วัดป่าโมกข์ แล้วในประเทศพม่าที่พระนเรศวรประทับอยู่ ที่ท่านถูกจับไปเป็นเชลย บริเวณนั้นมีพระนอนเยอะ พระพุทธไสยาสน์เป็นปางที่พระพุทธเจ้าโปรด เป็นปางที่เหมือนปราบทิฐิ นอนปราบทิฐิ ตอนนี้ออกแบบองค์เล็กๆ ไปประมาณเมตรหนึ่ง กำลังจะขยายแบบเป็น 99 เมตร คิดว่าน่าจะเสร็จไม่เกิน 10 ปีนี้ไป เพราะในหลวงรัชกาลที่ 9 พวกเราข้าแผ่นดินต้องก้าวไปข้างหน้า ไม่มีถอยหลัง สิ่งที่พ่อทำไว้ ไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้ ผมคิดอย่างนั้นนะ 4,000 กว่าโครงการ 4,000 กว่าเรื่องล้วนแต่มาจากมันสมองของพระองค์ และทีมงานที่จงรักภักดีต่อพระองค์ผมว่าไม่ธรรมดา”

อยากจะให้กำลังใจคนไทยยังไงบ้างตอนนี้ “ทุกคนว้าเหว่และเหงา แต่เราก็ยังต้องทำดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน โดยปิดทองหลังพระ ความดีนั้นจะอยู่กับตัวเรา หากไม่มีใครรู้แต่เราก็จะมีความสุขกับตัวเราเอง วันนี้เราได้เก็บขยะสักชิ้นหนึ่ง เราก็มีความสุขของเราเองได้โดยการทำความดี ที่เราไม่ต้องหาจากใคร”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน