ปาฏิหาริย์มีจริง! เอ๋ อัจฉรา เฉียดความตาย หลายโรครุมเร้า ทรมานจนไม่อยากตื่น ไต-หัวใจวายเฉียบพลัน กลัวนอนติดเตียง รอดมาได้ ปลงปล่อยวางชีวิต

เฉียดความตาย หลายโรครุมเร้า รอดมาได้ ปาฏิหาริย์ชีวิต สำหรับอดีตนางเอกละคร เอ๋ อัจฉรา ทองเทพ ที่ทรมานป่วยโรคภูมิแพ้ตัวเองมานาน 17 ปี มะเร็งเม็ดเลือดขาว เบาหวานกำเริบ ตัวบวม เป็นหนักถึงขั้นไตและหัวใจวายเฉียบพลัน

ล่าสุดหายดีแล้วกลับมารับงานแสดงอีกครั้ง โดยเจ้าตัวมาร่วมงานบวงสรวงเปิดกล้องภาพยนตร์ “รักได้แรงอก” ที่เมเจอร์ รัชโยธิน พร้อมเปิดใจกับ ข่าวสดบันเทิงออนไลน์ เล่าถึงความทรมานโรครุมเร้าจนไม่อยากตื่น เฉียดความตาย แต่กลับรอดมาได้ราวปาฏิหาริย์ เพราะได้กำลังใจจากครอบครัว แฟนคลับ คนรอบข้าง กลับมาเข้มแข็ง ได้บทเรียนชีวิต การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ปลง ปล่อยวางมากขึ้น

ทรมานกับโรครุมเร้ามานาน? “เอ๋เป็นโรค SLE หรือโรคพุ่มพวงมา 16 ปี ย่างปีที่ 17 แล้ว มันทรมานมากแล้วมันก็หนักขึ้นๆ โรค SLE รักษาไม่หายแต่ทำให้โรคสงบได้ แล้วหาสาเหตุไม่ได้ มันสามารถไปกระทบกับส่วนใดของร่างกายก็ได้ แพ้ภูมิตัวเอง พอให้เลือดเยอะๆ มันไปกระตุ้นมะเร็ง จนกลายเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ไปรักษาที่สถาบันจุฬาภรณ์ และหลายที่หลายศาสตร์ตามความเชื่อ”

“หลังจากนั้นก็ไปลงที่ไต แต่ตอนนั้นไม่ใช่ไตวาย แค่บวม จนมาลงหัวใจ เป็นหัวใจวายครั้งหนึ่ง แล้วทำบอลลูนใส่ขดลวดครั้งหนึ่ง แล้วมันไปตีบที่ก้านสมอง ต้องผ่าตัดสมอง จากนั้นก็เงียบหายมานานมาก รักษาจนเหมือนมันจะสงบแล้ว แล้วจู่ๆ เมื่อล่าสุดหัวใจวายเฉียบพลัน กับไตวายเฉียบพลัน ไม่รู้สึกตัว ไม่น่าจะรอด ไตไม่ทำงาน น้ำหนักขึ้น 78 กิโล ซึ่งเป็นน้ำหมดเลย ก็ต้องไปเอาน้ำออก กว่าจะหมด กว่าจะได้ขนาดนี้ต้องมีวินัยในการรักษามาก”

หนักหน่วงมากแค่ไหนที่เผชิญอยู่? “ถ้าให้เลือกตอนนั้นด้วยความเจ็บทรมาน แต่ให้คิดทำร้ายตัวเอง ไม่ทำนะ ให้ฆ่าตัวตาย ผูกคอตาย ไม่ทำ แต่ด้วยความที่เจ็บปวด ปวดข้อ ปวดกระดูกมากๆ เข้า นอนแล้วไหว้พระบอกว่า ไม่ต้องตื่นเลยก็ได้ จะได้ไม่ต้องทรมาน คือหลับไปเลยพรุ่งนี้ไม่ต้องตื่น มันทรมาน ตรงไหนมีรู เขาแหย่สายหมดเลย จมูก ปาก ทุกที่ที่มีรูในร่างกาย ที่ไม่มีเขาก็เจาะ เจาะคอ เจาะแขน เจาะเอว ก็มีความรู้สึกว่าไม่ตื่นก็ได้ ถ้าตื่นแล้วต้องทรมานแบบนี้ เคยมีความรู้สึกนั้น แต่ด้วยกำลังใจจากคนรอบข้าง จากครอบครัว จากเพื่อน เราก็มีความรู้สึกว่าเราต้องสู้นะ”

โรคกำเริบถึงขั้นหัวใจวาย ไตวายเฉียบพลัน ตอนนั้นคิดว่าตัวเองไม่รอดแล้ว? “คิดเกือบทุกครั้งที่เป็น เวลาเป็นแล้วมันเป็นหนัก หัวใจวายครั้งที่แล้วดีที่คุณแม่ส่งคุณหมอทัน แล้วคุณหมอรีบใส่ขดลวดทำบอลลูนเลย มันก็เลยรอด คิดว่าผ่าสมองน่าจะหนักที่สุด แต่คิดว่ายังไม่หนักเท่ากับที่ผ่านมา ไตและหัวใจวายเฉียบพลันพร้อมกัน คิดว่าหนักที่สุดและใช้ระยะเวลาในการรักษาที่นานมากและเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก นอนอยู่โรงพยาบาล 2 เดือนกว่า ประมาณ 20 กว่าวันถึงจะเริ่มรู้สึกตัว เริ่มรับรู้ว่ามันเจ็บ ตัวบวมมาก

ถึงขั้นสั่งเสียลูกเลยไหม? “ยังไม่ได้คิดอะไรในตอนแรก แค่รู้สึกว่าไม่อยากตื่นแล้ว เจ็บจัง หลับไปเลยได้มั้ย แล้วคุณหมอก็พยายามให้ยาให้หลับ ให้นอนพักมากที่สุด ให้ยาไตให้มันขับฉี่ขับปัสสาวะออกมาไม่ให้น้ำมันท่วมปอด ท่วมในร่างกายเรา ห่วงลูกมาก ห่วงคุณแม่มาก แต่ด้วยความที่ตัวเองเจ็บและทรมาน ก็เลยมองว่าทุกอย่างมันเป็นวัฏจักร คิดว่าลูกโตแล้ว 18-19 แล้ว ต้องอยู่กับญาติพี่น้องช่วยเหลือตัวเองได้ คุณแม่ยังมีพี่น้องอีกหลายคนที่ยังดูแลคุณแม่ได้ ด้วยความที่เราเจ็บ เราไม่อยากตื่นแล้ว เราก็เลยพยายามคิดให้ตัวเองวางทุกอย่างให้ได้ พร้อมที่จะหลับไม่ต้องตื่น ตื่นในภพหน้า ภพอื่น ภพไหนที่ไม่ใช่ในสภาพที่เจ็บปวดแบบนี้








Advertisement

รอดมาได้ เหมือนปาฏิหาริย์ชีวิต? “คิดนะ คิดว่าด้วยโรค ด้วยสิ่งที่เป็น อาการความเจ็บปวด ความทรมานที่ตัวเองเจอ คิดว่ามันสาหัสสากรรจ์มากๆ เลย ไม่รู้จะบอกว่ามากขนาดไหน คือไม่น่าจะรอด แต่เชื่อว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ปาฏิหาริย์มีจริง แต่ก็ยังมีความเชื่อว่าเราคงไม่ได้โชคดีทุกครั้ง อาจจะมีครั้งหน้าที่มันรักษาไม่ทัน พลาด หรือหมดกรรมหมดบุญแล้ว ก็คิดอยู่เหมือนกันวันหนึ่งอาจจะเป็นวันของเรา ความตายหนีไม่พ้นอยู่แล้ว”

ผ่านความตายมาได้ ปลงกับชีวิตเลยไหม? “อยากบอกทุกคนในโลกนี้ ถ้ามีโอกาสที่จะบอกทุกคน อย่าไปหลงไปโลภกับอะไรที่เรามโนจินตนาการที่เราคิดว่ามันต้องมี อย่างเช่นเงินทอง ยอมสละชีวิตทุกอย่างเพื่อแลกกับได้เงินมา ความสุขจากเงินทอง อย่าไปคิดอย่างนั้น เชื่อเอ๋เถอะ ให้ระลึกกับตัวเองตลอดว่า ไม่รู้วันพรุ่งนี้เราจะได้ตื่นขึ้นมาเจอลูกเจอเมียเจอสามีเจอพ่อแม่ เจอใครๆ ที่เรารักอีกมั้ย อยากให้ทุกคนวางให้เป็น อย่าไปโลภ หันมาดูแลสุขภาพมากที่สุด หาความสุขใส่ตัว หมั่นสวดมนต์ไหว้พระไม่ว่าศาสนาใด สอนเราวางให้เป็น อย่าไปยึดติดกับทุกสรรพสิ่ง กับเสื้อผ้า กระเป๋ายี่ห้อ การกินที่หรูหรา วางมันเถอะ”

ไม่กลัวความตาย แต่กลัวนอนติดเตียง? “ยังกลัวอยู่ ความตายเป็นอะไรที่กลัวมาก เป็นอะไรที่กลัวที่สุด และกลัวเรื่องการทรมาน กลัวนอนติดเตียงทรมานให้ลูกให้หลานเช็ดขี้เช็ดเยี่ยว นอนติดเตียง จะกลัวมาก ถ้าเราตายไปเลยจะไม่เครียดขนาดนี้ ถามว่าทุกวันนี้พะวงมั้ย รับกับความตาย รับได้ค่ะ เตือนตัวเองตลอดอีกนาทีข้างหน้าอาจจะตายก็ได้ นาทีนี้เราทำให้มันดีที่สุด พยายามบอกตัวเองนาทีข้างหน้าเราอาจจะตายก็ได้ แต่มีความรู้สึกว่าถ้าวันหนึ่งที่เราต้องตื่นมาแล้วนอนติดเตียง ตรงนั้นน่าจะรับไม่ได้ ถึงเวลานั้นเราอาจจะทำอะไรไม่ได้ก็ได้ เมื่อกระดิกตัวไม่ได้ นอนอยู่บนเตียงแค่เห็นว่าเพื่อนญาติลูกหลานเช็ดขี้เยี่ยว เราเห็นเราคงจะตรอมใจ ก็ต้องเป็นไปตามกรรมบุญที่ทำมา

การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ อยากบอกทุกคน ออกกำลังกาย ทานอาหาร ไม่ต้องทานอาหารแพงหรูหรา ขอให้มันปลอดภัย ให้อยู่แบบธรรมชาติให้มากที่สุด อย่าไปปรุงแต่งชีวิตไม่ว่าด้านความเป็นอยู่ ด้านการกิน ในทุกด้านของการดำเนินชีวิต อยากให้อยู่แบบธรรมชาติ อยู่แบบไม่ปรุงแต่ง”

จากที่ตัวบวม ผิวหนังเป็นผื่นเป็นหนอง ตอนนี้กลับมาสวยเหมือนเดิม? “อาจจะเป็นเพราะจิตใจเราด้วย ที่เราบอกตัวเอง เราต้องเข้าใจธรรมชาติ และรับเรื่องของบุญกรรมให้ได้ จะไม่มีคำถามกับตัวเองว่า ทำไมฉันเป็นอย่างนี้ มันจะทำให้เราเกิดความเครียด เมื่อก่อนเคยคิดอย่างนั้น แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะคิดได้ว่า อย่ามาถามตัวเอง อย่ามาทำร้ายตัวเองแบบนี้เลย เราจะไม่ทำร้ายตัวเอง เราปล่อยวางอยู่กับธรรมชาติ อยู่กับความทุกข์ให้เป็นแล้วเดี๋ยวเราก็จะสุขเอง ไม่งั้นเราก็จะเครียดแล้วเราก็เป็นหนักขึ้น คือตั้งแต่มิถุนาฯเริ่มดีขึ้น เริ่มทยอยลดบวม เริ่มเดินไม่ปวดข้อ เรื่องการมองไม่เห็น ยังระวังอยู่บ้าง ยังไม่ค่อยขับรถเอง ยิ่งเจอสถานที่ใหม่ๆ มีแสง กลัวเรื่องสายตา แต่โดยรวมดีขึ้นเยอะค่ะ”

คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองเหมือนเป็นโรคเวรโรคกรรมมั้ย? “ใช่ค่ะ เชื่อมากเลยว่าคนที่เป็นโรคอะไรอย่างนี้เป็นเรื่องของเวรกรรม โดยเฉพาะโรค SLE เชื่อว่ากรรมที่เราทำมา เราจะยอมรับกับตัวเองมั้ยว่าครั้งหนึ่งเราเคยทำร้ายฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เคยเป็นคนชอบโกหก ศีลห้าที่เราหลุด เราจะยอมรับหรือเปล่า วันหนึ่งที่เราคิดได้ เราก็หันมามองตัวเราเอง และเข้าใจตัวเราเองมากที่สุด เอาตัวเองไปผูกกับธรรมะ ธรรมมะก็คือธรรมชาติมากที่สุด”

อยากจะบอกอะไรกับคนที่เป็นห่วง? “อยากจะขอบคุณทุกๆ คน ยอมรับว่ากำลังใจจากทุกคนทำให้แข็งแรงเร็วขึ้น ครอบครัว ลูก คือจุดสำคัญกับเรา ที่สำคัญที่สุดคือตัวเราเอง นอกเหนือไปจากทุกสิ่งที่เรามองข้ามว่ามันยิ่งใหญ่มากๆ ก็คือจากแฟนคลับ เพราะมีแฟนคลับหลายท่านที่ไปสะเดาะเคราะห์ ไปทำพิธี เขียนชื่อแล้วส่งมาในแชทเฟซบุ๊ก เนี่ยหนูไปไหว้หลวงปู่ หนูทำให้พี่นะ อัจฉรา ทองเทพ เห็นคลิปที่เขาทำพิธีก็ร้องไห้ ขอบคุณนะที่ยังมีคนที่เราไม่รู้จักแต่รักเรา

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน