หลังเกิดกรณีที่ค่ายเพลง “มิวสิค บั๊กส์” ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกับศิลปินดังอย่าง “วงบิ๊กแอส” และ “หนุ่ม กะลา” นำเพลงไปร้องโดยไม่ได้ขออนุญาตกับทางเจ้าของลิขสิทธิ์ ตามที่เป็นข่าวดังอยู่ในขณะนี้
วันก่อน มีโอกาสเจอ เอก-ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ ผู้ก่อตั้งค่าย “มิวสิค บั๊กส์” แต่ภายหลังได้วางมือจากการดูแลค่ายเพลง เพื่อทุ่มเทเวลาให้กับครอบครัว โดยมี ชนินทร์ วรากุลนุเคราะห์ น้องชายมาเป็นคนดูแลแทน ซึ่ง ‘เอก-ธเนศ’ เดินทางมาร่วมงานประกาศผลรางวัลสุพรรณหงส์ ครั้งที่ 27 ที่ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย “ข่าวสดออนไลน์” จึงเข้าไปสอบถามถึงกรณีการฟ้องร้องดังกล่าวที่เกิดขึ้น โดย ‘เอก-ธเนศ’ กล่าวแต่เพียงว่า “ผมไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับมิวสิคบั๊กส์มาตั้งนานแล้ว ไม่รู้เรื่องรายละเอียดที่เกิดขึ้น ปัจจุบันน้องชายเป็นคนดูแล อย่าดึงผมเข้าไปเกี่ยวข้องเลย แล้วก็ไม่อยากมีความเห็นอะไรด้วยครับ”
ถามต่อถึง “รางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม” ที่ได้รับ?
“หนัง ‘ฉลาดเกมส์โกง’ ถือเป็นหนังเรื่องที่ 3 ในชีวิต รู้สึกดีใจมากกับรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ตอนที่รู้ว่ามีชื่อเข้าชิงตัวเองยังไม่ทันได้แอบลุ้น แต่คนอื่นลุ้นแทนหมด บางคนบอกว่าได้แน่นอน บางคนบอกให้ตัดชุดเตรียมเลย จนมานั่งคิดว่าถ้าไม่ได้ขึ้นมาจะยังไงล่ะเนี่ย(หัวเราะ) ผมไม่รู้ว่าตรงไหนที่เป็นเสน่ห์จนทำให้คณะกรรมการมองเห็นถึงความสามารถและมอบรางวัลนี้ให้ แต่ใครที่ได้ดูหนังเรื่องนี้จะเห็นความรักที่พ่อมีต่อลูกอย่างไม่มีเงื่อนไข ซึ่งผมก็ทำความเข้าใจและถ่ายทอดมันออกมาผ่านกล้องไปสู่คนดูแค่นั้นเอง”
ก่อนหน้านี้เคยได้รางวัลเกี่ยวกับหนังมาก่อนไหม?
“ไม่เคยเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รับรางวัลจากหนัง ก่อนหน้านี้ผมเคยได้รางวัลจากละครเวทีมาแล้ว คือนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากเวทีวิก07 ทองคำ ครั้งนี้ถือเป็นเกียรติในการกลับมาอีกครั้งในรอบ 30 ปี น่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีในเส้นทางของภาพยนตร์ ถ้าจำกันได้ผมเล่นหนังเรื่องแรกคือ ‘พ่อจอมยวน แม่จอมยุ่ง’ เมื่อปี พ.ศ.2529 หลังจากนั้นก็มาเล่นละคร ‘เทวดาตกสวรรค์’ แล้วก็มาโฟกัสเรื่องการทำเพลง เปิดค่ายมิวสิกบั๊ก ทำอัลบั้มตัวเอง ทำวงต่างๆ จนมาถึงจุดที่ตัวเองมีลูกก็เลยหยุดหมดทุกอย่าง”
แล้วทำไมถึงกลับมาสู่งานหนังอีกครั้ง?
“พอหยุดทำเพลงมา 15 ปีระหว่างนั้นก็มีเวลาเขียนเพลงไปบ้าง แล้วมันก็นึกถึงว่าตัวเองไม่เคยทำแบบนี้เป็นเรื่องเป็นราวทั้งๆ ที่เป็นอาชีพแรกก่อนทำงานเพลงด้วยซ้ำ หนังมันคือการจำลองชีวิตจริงๆ แต่เพลงมันเป็นมิติแค่เสียง เลยบอกกับตัวเองว่าในชีวิตที่เหลือขอทำงานเกี่ยวกับหนังดีกว่า เพราะเพลงทำมาเยอะแล้ว ผมเองเขียนบทไว้เยอะมากและกำลังอยากทำหนังของตัวเองด้วย คือเขียนบท กำกับ โปรดิวซ์ และจะเล่นเองด้วย โปรเจ็กต์นี้น่าจะเกิดขึ้นในปีนี้ แต่กว่าจะได้ออกฉายยังไม่รู้ยังไง เรื่องการลงทุนเองคงไม่ใช่เพราะผมไม่มีสตางค์(หัวเราะ) เพียงแต่เข้าใจเรื่องทั้งหมดที่จะเล่า ผมก็ค่อยๆ ทำไปเท่านั้น ส่วนจะเป็นหนังแนวไหนยังพูดไม่ได้เพราะสุดท้ายมันก็จะถูกพัฒนาไปเรื่อยๆ ถ้ามีนายทุนคนไหนสนใจผมยินดีมากๆ เพราะอย่างที่บอกว่าชีวิตที่เหลือตอนนี้ผมโฟกัสเรื่องภาพยนตร์ไทยทุกรูปแบบ รวมถึงพร้อมที่จะแสดงกับผู้กำกับคนไหนและค่ายไหนก็ได้ที่มีบทที่ดีที่เปิดโอกาสให้ผมได้ถ่ายทอด ซึ่งก็จะทำไปจนตายเลย”
ขอบคุณภาพ IG : numkala