สานฝันตัวเองสำเร็จอีกหนึ่งอย่าง สำหรับนักแสดงมากฝีมือ ‘นุ่น’ ศิรพันธ์ วัฒนจินดา ที่มีโอกาสแสดงละครเวที “เรื่องเล่าคืนเฝ้าผี” บนเวทีเมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์ วันที่ 6-23 มีนาคมนี้
โดยวันนี้นักแสดงสาวได้มาให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องดังกล่าว พร้อมจัดอันดับงานแสดงไปอยู่หมวดงานอดิเรก และเปิดใจถึงการใช้ชีวิตคู่กับสามี ‘ท็อป’ พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร
ความท้าทายที่สุดของเราในเรื่องนี้?
นุ่น – “เป็นเหมือนการเช็กลิสต์ความฝันของนุ่นค่ะ ตั้งแต่เริ่มต้นอาชีพนักแสดง นุ่นอยากเล่นละครเวทีที่สุด และหนึ่งใน โรงละครเวทีที่อยากอยู่คือเมืองไทยรัชดาลัยฯ มันคือความแกรนด์ เป็นเวทีที่อยากไปยืน ที่ผ่านมาที่นี่่มีแต่มิวสิคัล แล้วเราร้องเพลงไม่เป็น อันนี้คือสิ่งที่ติดมาตลอด วันหนึ่งทีมงานโทร.มาจะทำละครเวทีเรื่องนี้เป็นละครพูด มันไม่ใช่ความท้าทาย แต่มันตื่นเต้น ดีใจ เหมือนถูกหวย รอวันจะได้ขึ้นเวที อยากอยู่บนเวทีอย่างเพอร์เฟ็กต์ที่สุด ถามว่าอะไรคือความกดดัน คือกดดันตัวเอง เพราะไม่คิดว่าจะมีโอกาส พอมีโอกาสก็อยากให้ออกมาดี”
ทำไมถึงต้องเป็นเวทีรัชดาลัยเธียเตอร์?
นุ่น – “เรามาดูที่นี่หลายรอบมาก นุ่นชอบดูละครเวที เคยเล่นโรงเล็กโรงไซซ์กลาง มันฟินตอนเล่น แต่ที่นี่เราเคยดูแล้วประทับใจ ร้องไห้ มันเกินเอื้อม ถ้าคุณไม่มีสกิลร้องเพลงก็เหมือนว่าไม่ต้องเสนอหน้ามา (หัวเราะ) มันเลยห่างไกลความฝันมากๆ เมืองไทยเรามีโรงละครไม่กี่ที่ แล้วนุ่นได้ยินกิตติศัพท์พี่บอย (ถกลเกียรติ) มานานมากว่าเก่งและเข้มงวด อยากทำงานกับคนเก่ง เป็นอีกหนึ่งอันที่ต้องเช็กลิสต์ให้ได้”
ที่บอกว่าเช็กลิสต์สิ่งที่อยากทำมาจนเกือบครบแล้ว อะไรคือสิ่งที่ยังเหลืออยู่?
นุ่น – “ตอนนี้เหลืออีกแค่ไม่กี่บทบาทที่อยากเล่นจริงๆ อย่างเช่นเป็นคนตาบอด ไม่สามารถใช้สายตาในการสื่อสารได้ หรือใช้เสียงในการสื่อสาร เพราะการสื่อสารที่ทำให้คนเข้าใจกันคือการใช้ดวงตาและใช้เสียง เลยอยากรู้ว่าถ้าไม่มีสิ่งนี้เรายังจะทำให้เกิดการสื่อสารอารมณ์และความรู้สึกได้อยู่ไหม เป็นเรื่องที่ท้าทายตัวเอง นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีอะไรที่โหยหาขนาดนั้น เพราะตอนนี้สิ่งที่โฟกัสคือครอบครัว ธุรกิจส่วนการแสดงเป็นเหมือนงานอดิเรกที่เราหวงแหน”
จัดงานแสดงเป็นงานอดิเรกแล้ว?
นุ่น – “ใช่ คุยกับพี่ท็อปมานานแล้วว่าไม่อยากให้อาชีพนักแสดงเป็นอาชีพหลัก อยากเล่นเพราะอยากเล่นจริงๆ รู้ว่าตัวเองต้องกินต้องใช้เลยไม่อยากหาเงินด้วยอาชีพนักแสดง ไม่อย่างนั้นนุ่นจำเป็นต้องหางานมากๆ เพื่อมีเงิน ถ้าอย่างนั้นต้องทำงานที่หาเลี้ยงชีพได้ เลยเป็นที่มาที่เราทำธุรกิจหลากหลาย แล้วก็วางแผนว่าแต่ละธุรกิจจะรันไปกี่ปี รายได้ที่คิดจะมีตอนเกษียณเท่าไหร่ ถ้าเราไม่มีลูก จะหาเงินค่ารักษาพยาบาลยังไง ถ้าแก่มากจนต้องจ้างคนมาดูเรา เราวางแผนการเงินไว้แล้ว
ฉะนั้นนุ่นอยากให้อาชีพนักแสดงเป็นพื้นที่ที่นุ่นอยากเล่นแล้วค่อยเล่น นุ่นรักการแสดงมาก ถนอมเขามาก เมื่อไหร่ที่ตัดสินใจทำจะเต็มที่ ดังนั้นเราจะเลือกมากๆ ไม่อยากฝืนทำบางอย่างเพื่อให้ได้เงิน อาจด้วยมีวิธีคิดแบบนี้มานาน แล้วโชคดียุคสมัยเปลี่ยน อุตสาหกรรมการบันเทิงสโคปลดลง ความสนใจของคนเปลี่ยนแปลงไป อาจโชคดีที่เราเปลี่ยนแปลงตัวเองพอเหมาะพอเจาะกับยุคสมัยนี้”
ตอนนี้วงการบันเทิงซบเซา มองเรื่องนี้ยังไง?
นุ่น – “มันเป็นวัฏจักร ต่อให้ไม่ใช่นักแสดงหรือวงการบันเทิงก็เจอเหตุการณ์แบบนี้ ตอนนี้โลกมันเปลี่ยน ถ้าไม่ตั้งรับหรือคิดว่าทุกอย่างจะเหมือนเดิม อันนี้อันตราย ทุกอาชีพเจอเหมือนกันหมด
แต่นุ่นว่าข้อดีคือทุกอย่างที่เปลี่ยนแปลงมันมาพร้อมโอกาส จะเห็นว่าเดี๋ยวนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นนักแสดงถึงจะถูกเลือก แต่เขาสามารถมีพื้นที่มีเดียเพื่อเป็นนัักแสดงของตัวเองได้ มีช่องที่คนตามหลายล้าน เลยรู้สึกว่าบางอย่างที่เปลี่ยนไปมันมาพร้อมโอกาสเสมอ อยู่ที่ว่าเราจะเปลี่ยนตัวเองตามทันหรือเปล่า ไม่ได้ว่าต้องวิ่งตามทุกอย่าง แต่หมายถึงเราต้องวางแผน ถ้ายังคิดว่าไม่เปลี่ยน อันนี้น่ากลัว
อยากฝากถึงพี่ๆ เพื่อนๆ นักแสดง นุ่นเข้าใจความท้อ มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ทุกคนได้รับผลกระทบหมด สิ่งหนึ่งคือกำลังใจ ซึ่งทุกคนมีให้กันอยู่แล้ว เพียงแต่การก้าวออกจากปัญหา เราต้องทำเอง ต้องดูว่าตัวเองเหมาะกับการทำอะไร เลือกทางไหน แค่ไม่จม รู้ว่ามันเป็นปัญหา แล้วเราก็รู้สึกว่าพอจะทำอะไรได้บ้าง
วิกฤตมาพร้อมกับโอกาส ตอนเราเริ่มทำธุรกิจ เราก็ล้มเหลวเยอะ เราเกลียดคำว่าวิกฤตมาก แต่มันมาพร้อมโอกาส ถ้าเราไม่หดหู่มากเกินไป มันมีโอกาสเสมอ เพียงแต่บางทีคนเรากลัวที่จะเริ่มต้นใหม่ ก้าวแรกมันยากเสมอค่ะ”
มุมมองความรักของคู่เรา?
นุ่น – “ก็เหมือนเป็นคู่ตาคู่ยายเนอะ (หัวเราะ) มีตบตีกันบ้าง เคยพูดกับพี่ท็อปว่าถ้าไม่ได้ทำงานด้วยกันชีวิตครอบครัวเราจะดีกว่านี้ เวลาทำงานเราพูดด้วยข้อเท็จจริงมากกว่าความรู้สึก เพราะเราเป็นสาย Emotional ทั้งคู่ แต่ถ้าเราใช้ Emotional ทำงาน ชีวิตครอบครัวไม่ราบรื่นแน่ๆ ดังนั้นเวลาทำงานเราผ่านวิธีการในการหาวิธี จนสุดท้ายพี่ท็อปคือซีอีโอแบบไม่มีข้อโต้แย้ง อยากทำอะไรบอก เดี๋ยวนุ่นจัดการให้ ช่วงปีที่แล้วเราหาการแก้ปัญหานี้ก็เลยรู้สึกดีลแบบนี้ลงตัว หลังจากนั้นชีวิตคู่ดีมาก”
ปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากงาน ไม่เกี่ยวกับชีวิตคู่?
นุ่น – “ใช่ ไม่น่าเชื่อเนอะ อาจด้วยเราทะเลาะกันตั้งแต่ก่อนแต่ง พอแต่งปุ๊บมันเหมือนทุกอย่างเคลียร์ไปหมดแล้ว แต่ละคนเป็นตัวเองจนหาจุดลงตัว ในความเป็นชีวิตคู่แทบไม่ต้องปรับ รู้จักกันมา 8 ปี แต่งงานมาเกือบ 9 ปี เท่ากับใช้ชีวิตด้วยกันมา 17 ปีแล้ว ความรู้สึกเป็นเหมือนเพื่อน”
คู่เรามีโมเมนต์หวานบ้างไหม?
นุ่น – “ส่วนมากของพี่ท็อปจะเป็นการกระทำ นุ่นชอบมากเวลาตื่นเช้าแล้วเขาซักผ้า นุ่นตื่นสายเพราะเคลียร์งานดึก นี่คือความโรแมนติกของเรา เขาซักทุกอย่างให้เราหมดเลย ชุดชั้นในต่างๆ นุ่นว่าโมเมนต์ของผู้ชายในวัยนี้ไม่ต้องหวาน ไม่มีดอกไม้ แต่มันคือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
อย่างช่วงนี้เขารู้ว่านุ่นซ้อมละครเวทีต้องใช้เสียงและพลังเยอะมาก แล้วเราเป็นคนหิวง่าย เขาก็จะใส่อะโวคาโดอยู่ในสลัดเป็นอาหารมื้อเช้าให้เรา เพื่อให้มีพลังงานและอิ่มท้อง แล้วก็จะเตรียมน้ำที่เป็นอุณหภูมิปกติให้ทั้งๆ ที่เราชอบกินน้ำเย็น อะไรเหล่านี้เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เรารู้สึกขอบคุณ”
รู้สึกเป็นความโชคดีไหมที่ได้มาใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน?
นุ่น – “นุ่นว่ามันดีที่เราไม่ยอมแพ้ เพราะเราและเขาก็มีเรื่องที่ไม่น่ารัก เรายอมรับข้อเสียกันและกัน พี่ท็อปน่ารักตรงที่นุ่นจะเครียดและนอนดึก จะกินขนมตอนเที่ยงคืนทุกวัน เขาก็ไม่ห้าม แต่จะหาซื้อขนมถุงเอาไว้ในตู้เสบียง ถ้าเขาเริ่มเห็นว่าเรากินเยอะก็จะเริ่มลดขนาดถุงลง นุ่นเคยแอบถามเขาว่าตอนนี้อ้วนขึ้นเธอว่าอะไรไหม เขาก็บอกว่าขอให้ตัวเองไม่ปวดท้องก็พอ”
หลายคนบอกว่าอยู่ด้วยกันนานๆ ความรักจะจืดจางลง ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นกับคู่เราบ้างไหม?
นุ่น – “คู่เราก็เป็น แต่เป็นเหมือนการเปลี่ยนความสัมพันธ์จากคู่รักเป็นเพื่อน เหมือนเป็นการปรับทุกข์ เคยมีเพื่อนที่เราปรับทุกข์ไหม เพื่อนคนนั้นสำหรับนุ่นคือสามีเราค่ะ บางทีเขาก็มาปรับทุกข์กับเรา ไม่มีซีนโรแมนติก เดี๋ยวนี้เวลาเดินแทบจะไม่จับมือกันเลย แต่เรารู้สึกว่ามันเป็นความสัมพันธ์ที่ดีเหมือนเดิม
นุ่นอาจจะโชคดีตรงข้อที่นุ่นไม่อยากกังวล พี่ท็อปก็ไม่ทำให้รู้สึกกังวล อย่างเช่นตั้งแต่คบมาไม่เคยรู้สึกว่าต้องแอบส่องโทรศัพท์ เรื่องที่เป็นพื้นฐานครอบครัวเรารู้สึกว่าเราสบายใจ ฉะนั้นถ้าถามว่าความรักจืดจางไหม นุ่นว่ามันแค่เปลี่ยนรูปแบบจากความสวีตมาเป็นความเข้าใจ เราอยู่ด้วยกันและแน่นแฟ้นด้วยซ้ำ เพราะเป็นเหมือนพาร์ตเนอร์ สำหรับเราคือโคตรมั่นคง หมายถึง ณ โมเมนต์นี้นะคะ
เราไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะมีอุบัติเหตุในชีวิตคู่หรือเปล่า แต่วันนี้สบายใจมากๆ รู้จังหวะการใช้ชีวิตด้วยกัน สามารถทำอะไรก็ได้แล้วก็แชร์และรับผิดชอบด้วยกัน เป็นวัย 40 ที่กำลังดี ซึ่งน่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรกจะได้ไม่ต้องทะเลาะและร้องไห้กันมาก”
“แต่นั่นแหละ บางทีมันก็ต้องรอให้อายุมากขึ้นถึงจะตกตะกอน”
จิรณัฏฐ์ จงประสพมงคล