เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีหุ้นไทยปิดปรับตัวพุ่งขึ้น +35.50 จุด มาอยู่ที่ 1,451.52 จุด มูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 103,386.18 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นการปรับขึ้นตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศส่วนใหญ่ ประกอบกับนักลงทุนคลายความกังวลจากผลการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ที่ออกมาโดยไม่มีการล็อกดาวน์ทั้งประเทศแต่คุมเข้มบางพื้นที่ แม้จะมีการติดเชื้อกระจายไปหลายพื้นที่

อีกทั้งมีหลักทรัพย์ บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX เข้าทำการซื้อขายเป็นวันแรก เป็นหนึ่งในหุ้นขนาดใหญ่ที่ดันดัชนีตลาด โดยราคาขายให้ประชาชนเป็นครั้งแรก หรือราคาไอพีโอ ที่หุ้นละ 28 บาท ราคาเปิดซื้อขายในตลาดหุ้นวันแรกอยู่ที่ 65 บาท เพิ่มขึ้น 132% ขณะที่ราคาปิดอยู่ที่ 51.25 บาท โดยเพิ่มขึ้น +23.25 บาทหรือ เปลี่ยนแปลง +83.04% มูลค่าการซื้อขายพุ่งไปกว่า 25,000 ล้านบาท

รวมถึงยังมีแรงซื้อในหุ้นขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น DELTA CPF PTT และ BANPU เป็นต้น ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนรายย่อยในประเทศ เป็นฝ่ายขายสุทธิหุ้นไทย 2,275 และ 356 ล้านบาทตามลำดับ ขณะที่นักลงทุนสถาบัน และบัญชีหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 1,672 และ 959 ล้านบาท

นายปิยะทัศน์ พาโสมนัสสกุล นักวิเคราะห์ด้านกลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ หลังจากประเทศอังกฤษจะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (เบล็กซิท) มีความเป็นไปได้ที่จะออกมาในเชิงบวก ส่วนในประเทศนักลงทุนคลายกังวลหลังจากไม่มีการประกาศล็อกดาวน์ทั่วประเทศ มีเพียงการคุมเข้มบางพื้นที่เท่านั้น ทำให้หุ้นปรับขึ้นมาได้ดี โดยมีหุ้นขนาดใหญ่ขึ้นนำตลาด ทั้งหุ้นกลุ่มธนาคาร, พลังงาน และสื่อสาร

ขณะที่นักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิออกมาถือว่าไม่มาก อีกทั้งยังมองว่าตลาดคงจะไม่วิตกกังวลมาก ต่อการระบาดไวรัสโควิด-19 เหมือนที่ผ่านมา เพียงแต่ยังต้องเฝ้าติดตามจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดในประเทศว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นมาก/น้อยแค่ไหนในแต่ละวัน

โดยแนวโน้มการลงทุนในวันที่ 25 ธ.ค. ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้แต่จะไม่แรง ซึ่งถ้าไม่หลุดแนวรับ 1,445 จุด ก็ยังขึ้นต่อได้ ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 1,465-1,470 จุด พร้อมมองดัชนีมีโอกาสขึ้นไปได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ที่ 1,484-1,485 จุด


ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน