นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า คาดการณ์มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม หรือมาร์เก็ตแคป ของหลักทรัพย์ที่มีการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ในปี 2564 ยังมีแนวโน้มสูงต่อเนื่องจาก 2 ปีที่แล้ว โดยเฉพาะในปี 2563 มาร์เก็ตแคปของหุ้นไอพีโอ สูงถึง 5.55 แสนล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นอันดับ 8 ของโลก และเป็นอันดับ 2 ในเอเชียรองจากจีน อีกทั้งยังสูงสุดในอาเซียนเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน

ซึ่งการเข้ามาระดมทุนของผู้ประกอบการในปีนี้ ขึ้นกับปัจจัย 3 ส่วนหลักได้แก่ 1. ความพร้อมด้านข้อมูลของบริษัทที่จะเข้ามาระดมทุน กับบริษัทที่สนใจที่เข้ามาระดมทุนอยู่แล้ว 2. ความต้องการใช้เงินทุนของบริษัทว่าอยู่ในช่วงไหน และ 3. ภาวะตลาดหุ้นในช่วงนั้นเป็นอย่าง ส่วนเป้าหมายที่จะดึงบริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเน้นกลุ่มอุตสาหกรามเกิดใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่อยู่ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (นิวเอสเคิร์ฟ) ตามนโยบายของภาครัฐ ขณะเดียวกันตลาดหลักทรัพย์อยู่ระหว่างปรับหลักเกณฑ์ด้านการพิจารณากำไร เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทขนาดใหญ่ที่มีจำนวนลูกค้ามากๆ แล้วมีผลต่อระบบเศรษฐกิจ รวมถึงสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และมียอดขายที่ค่อนข้างสูงและเติบโตแต่อาจจะยังไม่สามารถมีความสามารถในการทำกำไรได้ เพื่อให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ รวมถึงการจัดตั้งตลาดรองซื้อขายหลักทรัพย์ธุรกิจเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ (กระดานที่ 3) ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3 ปีนี้ โดยปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

นายภากร กล่าวด้วยว่าในแง่ของมูลค่าการซื้อขายหุ้นในปีนี้คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง หลังจากในปี 2563 พบว่ามีการซื้อขายต่อวันเกิน 1 แสนล้านบาท ถึง 22 วัน และวันที่ซื้อขายสูงสุดอยู่ที่ 1.7 แสนล้านบาท ทำให้มูลค่าซื้อขายต่อวันเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 68,000 ล้านบาท รวมไปถึงในปี 2563 ซึ่งเกิดสถานการณ์โควิด-19 แต่พบว่ามีนักลงทุนหน้าใหม่เปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นถึงกว่า 6 แสนบัญชี โดยในปีนี้ตลาดหลักทรัพย์ยังเดินหน้าขยายฐานนักลงทุนหน้าใหม่ด้วยการเปิดตัวพันธมิตรใหม่ๆ เช่น กลุ่มธุรกิจที่มีการทำรอยัลตี้ โปรแกรม ผ่านการสะสมคะแนนให้ลูกค้า ซึ่งตรงนี้สามารถนำคะแนนมาแลกผลิตภัณฑ์การลงทุนได้เป็นต้น


ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน