นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 2564 จะอยู่ในทิศทางขาขึ้น โดยให้ดัชนีเป้าหมายที่ 1,600 จุด และหากหลายปัจจัยมีพัฒนาการดีขึ้น มีโอกาสที่จะปรับเป้าหมายดัชนีใหม่อีกครั้ง อย่างไรก็ดี ถือว่าสอดคล้องกับตลาดหุ้นทั่วโลกอีกทั้งตลาดหุ้นไทยเปิดทำการซื้อขาย 5 วันแรกของปีนี้ ดัชนีปรับขึ้นไปแล้ว 100 จุด ซึ่งมากกว่าที่คาด

อย่างไรก็ดี ในระยะสั้นๆ มองว่าหุ้นไทยยังไม่พักฐาน เนื่องจากตลาดหุ้นไทยยังปรับตัวขึ้นต่ำกว่าตลาดหุ้นในหลายประเทศ โดยเฉพาะเกาหลี ปีที่แล้วดัชนีปรับขึ้น 30% ส่วนตลาดหุ้นไทยปีที่แล้วติดลบ 8% ดังนั้นในระยะยาวยังเชื่อว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยเฉพาะครึ่งปีแรกจะมีหลายปัจจัยบวก ทั้งเศรษฐกิจโลกมีการฟื้นตัวอย่างชัดเจน และดีขึ้นเรื่อยๆ การระบาดซ้ำหลายครั้งของโควิด-19 ในขณะนี้จะเห็นว่านักลงทุนเริ่มคลายความกังวล เนื่องจากมีวัคซีนออกมาแล้ว

แต่ทั้งนี้ ต้องจับตาว่าบริษัทผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่จะสามารถผลิตวัคซีนออกมาได้ในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการได้มากแค่ไหน และประสิทธิภาพของวัคซีนจะสามารถทำให้ผู้ติดเชื้อมีภูมิต้านได้นานแค่ไหน และหากมีข้อผิดพลาดเกี่ยวการใช้วัคซีนเกิดขึ้น ก็คาดว่าจะกระทบต่อตลาดหุ้นค่อนข้างแรง โดยที่ขณะนี้มีประมาณ 44 ประเทศ เริ่มได้ฉีดวัคซีนให้ประชาชนแล้ว

นอกจากนี้ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปีนี้ มองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งช่วยให้นักลงทุนนำเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นแทน รวมถึงจากสภาพคล่องทางการเงินในตลาดที่ค่อนข้างสูง ซึ่งล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากถึงเดือนละ 1.2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และเป็นไปได้ว่าหากวัคซีนโควิด-19 ใช้ได้ผลดี ประกอบกับนายโจ ไบเดน ว่าที่ประธาณาธิบดีสหรัฐคนใหม่ จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ออกมา ล้วนแล้วแต่จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลก

ขณะที่ตลาดหุ้นไทย ก็เช่นกันนอกจากได้รับปัจจัยบวกดังกล่าวแล้ว เนื่องจากตลาดหุ้นไทยมีหุ้นวัฏจักร หุ้นที่เกี่ยวเนื่องไปกับเศรษฐกิจค่อนข้างมาก ทำให้นักลงทุนให้การตอบรับดี อีกทั้งยังมีปัจจัยเรื่องผลประกอบบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่คาดว่าจะเติบโต 40% จากปีที่แล้ว รวมถึงเงินทุนทั่วโลกไหลกลับเข้ามาลงทุนในประเทศเกิดใหม่ มากขึ้น ยิ่งกว่านั้นค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ในปีนี้น่าจะอ่อนค่าต่อเนื่องจากการขาดดุลงบประมาณ และขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐ ขณะที่ค่าเงินของประเทศเกิดใหม่แข็งค่าทำให้นักลงทุนต่างประเทศสนใจเข้ามาลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทย ปีที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิหุ้นไทยไปกว่า 2.6 แสนล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนนี้ก็มีโอกาสไหลกลับเข้ามาได้ หากปัญหาการเมืองในประเทศคลี่คลาย

โดยสอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนประจำเดือนธ.ค. 2563 พบว่าดัชนีในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 130.63 ปรับตัวลดลง 19.1% จากเดือนก่อนหน้าซึ่งอยู่ในเกณฑ์ร้อนแรงอย่างมาก มาอยู่ในเกณฑ์ร้อนแรง โดยยังสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนเมื่อเทียบกับความเคลื่อนไหวของดัชนีตลอดทั้งปี ซึ่งนักลงทุนคาดหวังการไหลเข้าของเงินทุนเป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด รองลงมาคือการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ การท่องเที่ยว รองลงมาคือสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และการถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่

สำหรับหมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดธนาคาร รองลงมาคือหมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ และหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ICT ส่วนหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดท่องเที่ยว ขณะที่ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การไหลเข้าของเงินทุน และปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การท่องเที่ยว


ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน