นายสุพงศ์วร เมี้ยนโภคา ผู้บริหารสายงานจัดการลงทุน บลจ.ทิสโก้ เปิดเผยว่าภาพรวมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก แต่ในขณะเดียวกันที่ผ่านมากลุ่มนักลง
ทุนต่างประเทศมีการขายหุ้นไทยออกพอสมควรแล้ว ดังนั้นมองว่าหากครึ่งปีหลังรัฐบาลมีการกระจายวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้ดี จะมีผลต่อความเชื่อมั่นในการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามา ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต ก็คาดว่าประมาณปลายไตรมาส 3 ปีนี้ จะมีกระแสเงินลงทุนของต่างชาติเริ่มไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยได้ โดย
ในเบื้องต้นประเมินดัชนีหุ้นไทยปี 2564 เป้าหมายที่ 1,600-1,650 จุด หรือมีโอกาสที่ดัชนีหุ้นไทยจะปรับสูงขึ้นมากกว่าที่จะปรับลดลง เนื่องจากเริ่มมีการกระจายวัคซีนป้องกันโควิด-19 ซึ่งถ้าดูจากประเทศสหรัฐอเมริกา หลังเริ่มรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 พบว่าอัตราการติดเชื้อและอัตราการตายเริ่มดีขึ้น ส่งผลให้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติมากขึ้น และบางเมืองเริ่มมีสัญญาณดีขึ้นจากตัวเลขค้าปลีกปรับตัวดีขึ้น

“ที่ผ่านมาดัชนีหุ้นไทยไม่ไปไหน ปรับขึ้น 100-200 จุด จากปัญหาการเมืองในประเทศต่อเนื่อง โคสงสร้างเศรษฐกิจไทยยังเป็นอุตสากรรมเก่า ไม่มี growth industry เช่นธุรกิจเทคโนโลยี ขณะเดียวกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กังวลกันว่าจะเกิดระลอก 3 ในไทย ทั้งหากเกิดขึ้นจริงก็เขื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยให้ปรับลดลงไม่มากเท่า 2 ระลอกแรก คือ ระลอกแรงหุ้นไทยร่วงถึง 34% ระลอก 2 ปลายธ.ค.2563 ร่วงลง 80 จุด “นายสุพงศ์วร กล่าว

ด้านนายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด และที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในระยะสั้นแนะนำลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะหุ้นขนาดกลางและเล็ก เนื่องจากที่ผ่านมาราคายังไม่ปรับขึ้น เมื่อเทียบกับหุ้นขนาดใหญ่ที่ปรับขึ้นไปค่อนข้างมากแล้ว และบางตัวราคาปรับขึ้นไปเท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 แล้ว ทั้งที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวดี แต่เนื่องจากที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยมีสภาพคล่องทางการเงินล้นระบบ ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่ำมาก ทำให้ผู้ฝากเงินหันมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยโดยเฉพาะในหุ้นขนาดใหญ่ เพราะมองว่าอย่างน้อยก็มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร

ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในระยะยาว 3-5 ปี แนะนำให้จัดสรรเงินลงทุน 30% ลงทุนในหุ้นไทย เนื่องจากตลาดหุ้นไทยยังไร้เสน่ห์จากการที่ยังกระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมเก่า ส่วนอีก 70% แนะนำลงทุนในหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ อาทิ รถยนต์ไฟฟ้ากลุ่มเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพและร่างกาย (Health Tech-Body Tech) รวมถึงกลุ่มไบโอเทค หรือเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมในอนาคตที่จะมีผลต่อระบบเศรษฐกิจโลกแน่นอน ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มนี้มีโอกาสจะเติบโตขึ้นแบบทวีคูณในอนาคต

นายสาห์รัช ได้กล่าวแนะนำสำหรับกองทุนหุ้นไทยที่เป็นดาวเด่นของ บลจ.ทิสโก้ ในปีที่ผ่านมา มี 2 กองทุน ประกอบด้วยกองทุนเปิด ทิสโก้ สแตรทิจิก ฟันด์ ชนิดหน่วยลงทุน A (TSF-A) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) เน้นลงทุนในหุ้นไทยที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มั่นคง และมีแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจที่ดี กองทุนนี้มีจุดเด่นตรงที่เป็นกองทุนที่ไม่มีข้อจำกัดเรื่องกลยุทธ์การลงทุน สามารถลงทุนได้ทั้งหุ้นขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก และปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ โดยผู้จัดการกองทุนจะคัดเลือกหุ้นด้วยวิธี Bottom Up จากนั้นจึงวิเคราะห์และคัดสรรจนเหลือหุ้นที่จะลงทุนเพียง 10-15 ตัว

ส่วนอีกกองทุน เป็นกองทุนเปิด ทิสโก้ Mid/Small Cap อิควิตี้ ชนิดหน่วยลงทุน A (TISCOMS-A) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ไม่เกิน 80,000 ล้านบาท โดยผู้จัดการกองทุนจะใช้กลยุทธ์การเลือกหุ้นแบบ Bottom Up เป็นหลัก


ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน