นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า 8 เดือนแรกของปี 2564 พบว่ามีการเปิดบัญชีใหม่เพื่อซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทยถึง 1.1 ล้านบัญชี ขณะที่ปี 2563 มียอดผู้เปิดบัญชีใหม่โดยรวม 7-8 แสนบัญชี

อย่างไรก็ดีรวม 2 ปีล่าสุดมียอดผู้เปิดบัญชีใหม่สูงขึ้นกว่าในอดีตซึ่งเฉลี่ยปีละ 3-4 แสนบัญชี ก็ถือว่าสูงมากแล้ว ทั้งนี้มาจากหลายเหตุผล แ

ต่เหตุผลหลักคือปัจจุบันการเปิดบัญชีง่ายขึ้นมาก ประกอบกับปีนี้มีหุ้นหลายตัวที่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และเน้นกระจายหุ้นให้นักลงทุนรายย่อยอย่างทั่วถึง ทำให้บัญชีของนักลงทุนรายย่อยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

และยิ่งไปกว่านั้นปัจจุบันผลตอบแทนจากดอกเบี้ยเงินฝากค่อนข้างต่ำ ทำให้นักลงทุนและผู้มีเงินอแมกระจายความเสี่ยงเพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่มากขึ้น

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวสรุปพาวะตลาดหุ้นไทย ณ สิ้นเดือนส.ค. 2564 ว่า ดัชนีปิดที่ 1,638.75 จุด เพิ่มขึ้น 7.7% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า และเทียบกับ 8 เดือนแรกของปีนี้ ดัชนีหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้น 13.1% ถือเป็นการปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่าดัชนีตลาดฯ เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2563 ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร และกลุ่มบริการ

ทั้งนี้ ช่วงปลายเดือนส.ค. การควบคุมสถานการณ์ระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาในไทยมีแนวโน้มดีขึ้น ผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงต่อเนื่อง ประกอบกับตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการจัดงานไทยแลนด์โฟกัส ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะกองทุนต่างประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมงาน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นมากขึ้นจากทั้งสถานการณ์ในประเทศที่ดีขึ้น รวมถึงผลการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีมติคงสภาพคล่องการทำคิวอี ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนกลับมาอยู่ในเชิงบวกอีกครั้ง

นอกจากนี้ ยังเห็นสัญญาณเงินทุนเคลื่อนย้ายของผู้ลงทุนจากต่างชาติกลับไปยังสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงตลาดหลักทรัพย์หลายแห่งในภูมิภาค อาเซียน ส่งผลให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าอยู่ที่ 32.34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับมูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเดือนส.ค. เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 92,589 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63.8% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยใน 8 เดือนแรกปี 2564 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 95,886 ล้านบาท

ทั้งนี้ ผู้ลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิเป็นเดือนแรกของปีนี้ โดยซื้อสุทธิที่ 5,584 ล้านบาท ทำให้ในช่วง 8 เดือนแรกปีนี้ ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยรวม 89,975 ล้านบาท ส่วนผู้ลงทุนในประเทศมีสถานะเป็นผู้ซื้อสุทธิ 102,609 ล้านบาท

นอกจากนี้ ตั้งแต่เดือนก.พ. 2563 ที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้ลงทุนในประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ 8 เดือนแรกที่ผ่านมา พบว่ามีบริษัทเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เป็นครั้งแรก (IPO) สูงที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในอาเซียนอีกด้วย

สำหรับ ราคาหุ้นต่อกำไรในปัจจุบันเทียบกับใน 12 เดือนข้างหน้า หรือ Forward P/E และ ราคาหุ้นต่อกำไรในอดีต หรือ Historical P/E ของตลาดหุ้นไทย ณ สิ้นเดือนส.ค. 2564 อยู่ที่ระดับ 19.3 เท่า และ 20.2 เท่าตามลำดับ

สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.7 เท่า และ 18.2 เท่าตามลำดับ ขณะที่อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนส.ค. 2564 อยู่ที่ระดับ 2.38% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 2.35%

นายภากร กล่าวตอนท้ายว่า ขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์อยู่ในขั้นตอนหามาตรการดูแลหุ้นที่ราคามีหารเคลื่อนไหวผิดปกติ และเมื่อได้มาตรการออกมาแล้วจะเปิดประชาพิจารณ์ต่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อออกประกาศเป็นมาตรการต่อไป


ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน