สรุปภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยวันที่ 3 ต.ค. 2565 ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,558.05 จุด ร่วงแรง -31.46 จุด (-1.98%) มูลค่าการซื้อขาย 82,448.41 ล้านบาท

นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ ประธานสายธุรกิจรายย่อย บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคอาเซียน ทั้งนี้ หากย้อนไปครึ่งปีที่ผ่านมา จะพบว่าตลาดหุ้นอาเซียน สร้างผลตอบแทนดีกว่าตลาดหุ้นในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งเมื่อเกิดสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจ โดยเฉพาะประเด็นต่างประเทศ ต่อความกังวลเรื่องการประชุมนอกรอบของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ที่จะมีขึ้นในคืนนี้ของไทย ทั้งที่นักลงทุนได้รับทราบว่าเฟดจะมีการนัดประชุมนอกรอบดังกล่าวไปแล้วตั้งแต่วันที่ 29 ก.ย.ที่ผ่านมา

ในขณะที่รัฐบาลอังกฤษ ก็ประกาศยกเลิกมาตรการภาษีไปแล้ว เช่นกัน ซึ่งบรรยากาศการลงทุนโดยรวมน่าจะดูดีขึ้น แต่ปรากฎว่าภาพของตลาดเงินในขณะนี้เกิดความปั่นป่วน ภาพการลงทุนอาจแยกแยะไม่ออก ระหว่างสถานการณ์เศรษฐกิจถดถอย กับวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งนักลงทุนจำนวนไม่น้อยมีความกังวลว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเหมือนช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ หรือวิกฤติซัพไพรม์ ทั้งที่มองว่าไม่น่าจะรุนแรงขนาดนั้น ดังนั้นทุกครั้งที่นักลงทุนเกิดความกลัว สภาพตลาดหุ้นจะเป็นไปในลักษณะเช่นขณะนี้ทุกครั้ง

โดยหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับ
1. PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 4,318.90 ล้านบาท +4.00 บาท (+2.49%)
2. CPALL มูลค่าการซื้อขาย 3,941.90 ล้านบาท -2.00 บาท (-3.56%)
3. AOT มูลค่าการซื้อขาย 3,165.6.7 ล้านบาท -0.75 บาท (-1.03%)
4. GULF มูลค่าการซื้อขาย 2,807.60 ล้านบาท -2.00 บาท (-3.81%)
5. BBL มูลค่าการซื้อขาย 2,757.22 ล้านบาท -4.00 บาท (-2.93%)

อย่างไรก็ดี หากสังเกต ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ที่เคยแข็งค่าไปถึง 115 จุด โดย ณ ตอนนี้ เริ่มปรับลงแล้ว สะท้อนว่าความกลัวจากปัจจัยต่างประเทศเริ่มมีบทบาทน้อยลง แต่เนื่องจากตลาดหุ้นไทยสร้างผลตอบแทนดีมานาน มีผลทำให้วันนี้นักลงทุนมีการเทขายออกมาบ้าง แต่ทั้งนี้จากการที่ก่อนหน้านี้ ธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) ได้ออกมาเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจไทย มีการฟื้นตัวต่อเนื่อง และจับตาวันที่ 5 ต.ค. จะมีการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อของไทย ซึ่งคาดว่าจะลงจาก 7.86% เหลือ 6.70% แต่ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกยังมีทิศทางที่ไม่สู้ดีเท่าไร

ส่วนแนวโน้มดัชนีหุ้นไทยคาดว่าไม่น่าต่ำกว่า 1,550 จุด ขณะที่ระยะสั้น เชื่อว่าดัชนีหุ้นไทยจะเกิดการฟื้นตัวเชิงเทคนิคในช่วงปลายสัปดาห์นี้ โดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่มีการประกาศผลประกอบการเร็วที่สุดจะเป็นตัวนำตลาด เนื่องจาก ณ เดือนส.ค.ที่ผ่านมา ตัวเลขสินเชื่อของกลุ่มธนาคารพาณิชย์มีการปรับตัวสูงขึ้นได้ค่อนข้างดี ประกอบกับทิศทางดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และผลตอบแทนของพันธบัตรที่เพิ่มขึ้น ก็คาดว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ส่วนผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2565 จะออกมาโดดเด่น ทั้งนี้ แนะนำหุ้น BBL และ SCB


ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน