บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด สรุปภาวะตลาดเงินตลาดทุนรายสัปดาห์ (3-7 เม.ย. 2566) สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท เงินบาทแข็งค่าผ่านแนว 34.00 ไปแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 1 เดือนครึ่งที่ 33.79 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนลดช่วงบวกบางส่วนปลายสัปดาห์

โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงต้น-กลางสัปดาห์ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาด (อาทิ ดัชนี ISM ภาคการผลิตและภาคบริการเดือนมี.ค. ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานเดือนก.พ. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการรายสัปดาห์) ซึ่งกระตุ้นการคาดการณ์ของตลาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ใกล้จะสิ้นสุดแนวโน้มการคุมเข้มนโยบายการเงิน โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงต่อภาวะถดถอยเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ดี เงินบาทอ่อนค่ากลับมาในช่วงปลายสัปดาห์ตามทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่แรงขายเงินดอลลาร์ ชะลอลงบางส่วน เนื่องจากตลาดรอติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน และเครี่องชี้ตลาดแรงงานของสหรัฐ เพื่อประเมินทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐ ในระยะข้างหน้า

ในวันศุกร์ที่ 7 เม.ย. 2566 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 34.07 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับ 34.20 บาทต่อดอลลาร์ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (31 มี.ค.)

สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 3-7 เม.ย. 2566 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 522 ล้านบาท และมีสถานะเป็น Net Outflows ออกจาดตลาดพันธบัตรไทย 16,003 ล้านบาท(ขายสุทธิพันธบัตร 11,671 ล้านบาท ขณะที่มีตราสารหนี้หมดอายุ 4,332 ล้านบาท)

สัปดาห์ถัดไป (10-14 เม.ย.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 33.80-34.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การทบทวนประมาณการเศรษฐกิจโลกของ IMF ทิศทางเงินทุนต่างชาติและสกุลเงินเอเชีย
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมี.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (เบื้องต้น) เดือนเม.ย. และรายงานการประชุมเฟดเมื่อวันที่ 21-22 มี.ค.

นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางเกาหลีใต้ และตัวเลขเศรษฐกิจจีน อาทิ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต และตัวเลขการส่งออกเดือนมี.ค.

สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย หุ้นไทยปรับตัวลงเกือบตลอดสัปดาห์ ทั้งนี้ หุ้นไทยร่วงลงตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์ โดยเผชิญแรงฉุดหลักจากแรงขายหุ้นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่แห่งหนึ่งเพื่อลดความเสี่ยง เนื่องจากตลท. ประกาศให้เข้าเกณฑ์ต้องใช้บัญชีเงินสดในการซื้อขายหลักทรัพย์ หลังราคาหุ้นปรับขึ้นค่อนข้างร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี หุ้นไทยฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนช่วงปลายสัปดาห์ตามทิศทางหุ้นภูมิภาค ประกอบกับมีแรงซื้อคืนหุ้นหลังร่วงลงแรงก่อนหน้านี้ อนึ่ง หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวแรงช่วงต้นสัปดาห์ โดยมีแรงหนุนจากราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวขึ้น หลังโอเปกพลัสประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันลงอีก 1.16 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่วนหุ้นกลุ่มแบงก์มีแรงซื้อเข้ามาก่อนการประกาศงบไตรมาส 1/66

ในวันศุกร์ (7 เม.ย.) ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,577.07 จุด ลดลง 1.99% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 42,845.55 ล้านบาท ลดลง 2.36% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 2.30% มาปิดที่ระดับ 525.74 จุด

สำหรับสัปดาห์ถัดไป (10-14 เม.ย.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,565 และ 1,550 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,595 และ 1,615 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก และการปรับโพสิชันของนักลงทุนก่อนการประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 1/66 ของบจ.ไทย

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ยอดค้าปลีก ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมี.ค. รายงานการประชุมเฟด (21-22 มี.ค.) รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกเดือนก.พ. ของยูโรโซน รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจเดือนมี.ค. ของจีน อาทิ ดัชนีราคาผู้บริโภค และดัชนีราคาผู้ผลิต


ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน