ต้องไม่ปฏิวัติ
พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบกคนใหม่ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวอย่างเป็นทางการครั้งแรกภายหลังจากการรับตำแหน่ง
และตอบคำถามเรื่องโอกาสที่จะมีการปฏิวัติรัฐประหารในอนาคตหรือไม่ โดยยกเงื่อนไขว่า หากสังคมไม่เกิดสภาพจลาจล และการเมืองไม่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ก็จะไม่มีการรัฐประหาร
ซึ่งเรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับจุดยืน ท่าที หรือสมมติฐานดังกล่าวได้อย่างกว้างขวาง ทั้งจากนักการเมือง นักกิจกรรมสังคม และประชาชนโดยทั่วไป
เสียงค้านนั้นมาจากทั้งประเด็นข้อเท็จจริงและหลักการ
ผู้ที่คัดค้านและไม่เห็นด้วยว่าจะต้องมีการรัฐประหารในสังคมไทยอีก เห็นว่ารัฐประหารครั้งที่ผ่านๆ มานั้น เกิดขึ้นเพราะการ “สมคบคิด” ระหว่างกลุ่มผู้สูญเสียผลประโยชน์ ทั้งทางการเมือง ราชการ และธุรกิจ
เป็นเพียงความต้องการของคนกลุ่มเล็กที่ถือเงินและอำนาจ มิใช่ความประสงค์ของประชาชนส่วนใหญ่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรัฐประหาร 2 ครั้งล่าสุดในสังคมไทย ยิ่งมีหลักฐานพิสูจน์ชัดเจนว่าการสมคบคิดที่ว่านั้น มิใช่เป็นเพียงทฤษฎีหรือการทึกทักเอาเอง
แต่เป็นข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้จากการดาหน้าเข้าดำรงตำแหน่ง หรือร่วมกันมีบทบาทในการบริหารประเทศ ของกลุ่มคนที่มีส่วนร่วมปูทางให้เกิดการรัฐประหารมาแต่ต้น
โดยอาศัยกองทัพเป็นแกนกลาง
และผู้ซึ่งคัดค้านการรัฐประหารด้วยหลักการ ก็ยืนยันหนักแน่นว่า การรัฐประหารนั้นมิใช่ภารกิจหรืออำนาจหน้าที่ของกองทัพ
ที่ในสังคมอารยะแล้ว จะจำกัดบทบาทและอำนาจของตนเองเอาไว้เพียงการป้องกันภัยคุกคามจากภายนอก
เพราะที่ตามมากับการรัฐประหารทุกครั้ง ก็คือความเสื่อมโทรมของสังคมและเศรษฐกิจ เนื่องจากขาดการตรวจสอบถ่วงดุล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมไทย ไม่เคยปรากฏว่ามีครั้งใดที่รัฐประหารแล้วสามารถทำให้สังคมเจริญขึ้น หรือแก้ไขปัญหา-ความขัดแย้งที่เป็นข้ออ้างในการรัฐประหารได้จริง
มีแต่ยิ่งขยายแผลหรือสร้างความร้าวฉานให้รุนแรงขึ้นในสังคม