การออกมาแสดงความแปลกใจต่อข่าวลือที่ว่า หัวหน้าคสช.อาจใช้อำนาจมาตรา 44 ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินยุบพรรคการเมืองทำให้ ส.ส.พ้นสภาพของรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

เป็นเรื่องน่าเห็นใจ และสมควรต้องทำความเข้าใจในทางการเมืองร่วมกันว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร

นี่ย่อมไม่เกี่ยวอะไรกับนวนิยายเรื่อง Animal Farm

ตรงกันข้าม หากติดตามการเคลื่อนไหวมูลเชื้อ 1 น่าจะมาจากการเดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์

และ 1 น่าจะมาจากคำขู่จากรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐที่ว่าจะเลือกแนวทางจัดตั้ง “รัฐบาลเสียงข้างน้อย”แล้วยุบสภา

จากนั้น “ข่าวลือ”ก็ปลิวว่อน

สังคมไทยมีความอ่อนไหวอย่างเป็นพิเศษจากการเคลื่อนไหวของทหาร เนื่องจากการเดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลของผบ.ทบ.อยู่ในห้วงฝุ่นตลบจากการจัดตั้งรัฐบาล

เพราะว่านายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันก็เคยเป็นผบ.ทบ.และเคยทำรัฐประหารมาแล้ว

ขณะเดียวกัน ท่าทีของพรรคพลังประชารัฐเมื่อประสบเข้ากับกลเกมในทางการเมืองจากพรรคประชาธิปัตย์ทำให้ความหงุดหงิดกลายเป็นเหมือนโรคระบาด

จึงไม่เพียงแต่จะเน้นว่า “รัฐธรรมนูญฉบับนี้ DESIGN มาเพื่อพวกเรา”เท่านั้น หากแต่ยังสามารถปล่อยเสียงขู่ออกมาแทบไม่แตกต่างไปจากที่เคยได้ยินจากขุนทหารในกาลอดีต

นี่มิได้ขู่ไปยังพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ เท่านั้น

หากเป้าหมายแท้จริงย่อมเป็นการขู่ไปยังพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา

ต้องการขู่ให้การจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปด้วยความราบรื่นชื่นใจ

คำถามก็คือ ถึงขั้นมีการขยับขับเคลื่อนทั้งการเมืองและการทหารประสานสอดคล้องถึงระดับนี้ ท่าทีของแต่ละพรรคการเมืองเป็นเช่นใด

พรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่นั้นไม่กลัวอยู่แล้ว

จำเป็นต้องติดตามว่าท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา จะออกมาใน แบบพับเพียบเรียบร้อย หรือว่าไม่ลดราวาศอก

การปฏิบัติต่างหากคือคำตอบที่ดีที่สุดของพรรคการเมือง

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน