เซ็บเดิร์ม-โรครังแค หมอแนะวิธีรักษานพ.รัฐภรณ์ อึ๊งภากรณ์ อุปนายกวิเทศสัมพันธ์ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สมัยก่อนเราเรียกเซ็บเดิร์ม ว่าโรคต่อมไขมันอักเสบ แปลตามชื่อโรคจากภาษาอังกฤษ ปัจจุบันนี้เราจะคุ้นกับคำที่ว่า “รังแคของใบหน้า” หรือ “รังแค” หรือ “เซ็บเดิร์ม” ซึ่งเป็นโรคเดียวกัน

การรักษาส่วนใหญ่ถ้ากรณีที่เป็นไม่มาก จะใช้แชมพูกำจัดรังแค ที่มีส่วนผสมของยาขจัดรังแค เช่นสารซิงก์ โพลิไธออน, ไซโคลพิรอกซ์ โอลามีน หรือซีลีเนียม ซัลไฟด์ หลักการของการฟอกการสระ นั้นต้องทำเบาๆ ห้ามเกา ใช้มือคลึงเบาๆ แล้วก็ทิ้งเอาไว้ อย่างน้อยประมาณ 2-3 นาที ให้ตัวยาออกฤทธิ์ และสะเก็ดอ่อนตัวหลุดออกไป แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำธรรมดา บางตัวทำให้ผมแห้ง หรือกลิ่นแรง ก็สามารถเลือกใช้ตัวแชมพูอื่นชะล้างโดยเร็วอีกรอบได้ โดยที่ไม่ต้องเกา หรือบางท่านที่ผมแห้งก็ใช้แค่ครีมนวดผมจับปลายเส้นผมได้

ในรายที่สะเก็ดติดหนังศีรษะหนา ก่อนที่จะสระผมให้ใช้น้ำมันมะกอกแตะที่หนังศีรษะทิ้งไว้ประมาณ 15 ถึง 30 นาทีให้สะเก็ดมันร่อนนุ่มๆ แล้วค่อยสระผม แต่ห้ามแกะเพราะจะยิ่งกระตุ้นให้เป็นมากขึ้น

ในกรณีที่ใช้แชมพูดังกล่าวแล้วไม่ดีขึ้น อาจต้องพบแพทย์เพื่อรับแชมพูที่เป็นยา วิธีการใช้จะเหมือนกัน

อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นเคล็ดลับสำหรับคนที่เป็นรังแคของใบหน้า อาจใช้ฟองแชมพูสำหรับสระผมให้โดนในบริเวณที่มีผื่น ทิ้งไว้สั้นๆ สัก 1 นาทีแล้วล้างออกอาจจะช่วยในการ รักษาและป้องกันได้ คนที่มีอาการรุนแรงอาจต้องใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ ซึ่งมีเปอร์เซ็นต์มีความเข้มข้นต่างๆ บริเวณศีรษะ แนะนำให้ใช้ความเข้มข้นน้อยๆ จะมีในรูปของโลชั่นหยอดศีรษะ หรือเป็นยาครีมสำหรับผิวหนังทั่วไป โดยทาวันละ 1-2 ครั้ง ประมาณ 1-2 สัปดาห์พอดีขึ้นก็หยุด ในบางคนที่เป็นบ่อยๆ แนะนำว่าการป้องกันคือ ใช้แชมพูขจัดรังแคกับแชมพูปกติสลับกันไป และเมื่อไหร่ก็ตามเมื่อเริ่มมีอาการรำคาญ ก็ค่อยมาใช้ยาสเตียรอยด์ ที่พูดถึง

ในบางรายที่กลัวสารสเตียรอยด์ ก็มียาหลายๆ ตัวที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น ยาในกลุ่มยาฆ่าเชื้อรา เพราะบางคนที่เป็นรังแคส่วนหนึ่ง ของคนไข้จะมีเชื้อรา คือ เชื้อยีสต์หรือเชื้อเกลื้อน สูงกว่าคนปกติ แต่ไม่ต้องกลัว เพราะว่า ตัวเชื้อยีสต์กับตัวเชื้อเกลื้อนนี้พบได้บนผิวของทุกคน อาจจะไม่มี 100% แต่ว่าคนไหนก็ตามที่มีผิวหนังมัน คนที่ออกกำลังกายเหงื่อออกเยอะๆ อาจจะมีเปอร์เซ็นต์ของเชื้อเกลื้อน มากกว่าปกติ ทำให้เกิดรังแคขึ้นมาได้

เพราะฉะนั้นในบางราย การใช้ครีมฆ่าเชื้อรากคีโตโคนาโซล ให้ทาบริเวณที่เป็นเช้า-เย็น ข้อดีของการใช้คีโตโคนาโซล คือสามารถใช้ป้องกัน และทาเป็นครั้งคราวได้ ยาทาตัวอื่น ที่ไม่ใช่ยาสเตียรอยด์ คือ เรียกว่ายากลุ่ม calcineurin inhibitor ได้แก่ Protopic กับ Elidel ทาบริเวณที่เป็นวันละ 2 ครั้ง พอเริ่มดีขึ้นก็ลดเป็นวันละครั้ง พอหายก็หยุด ผลข้างเคียงของยา 2 ตัวนี้ คือทาแล้วอาจจะมีอาการแสบๆ คันๆ บ้างในช่วงแรก สามารถใช้ในการป้องกันได้ ในกรณีที่เป็นบ่อยหรือเป็นประจำ ใช้ทาสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เช่น จันทร์-พุธ-ศุกร์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ ถ้าขึ้นมาเยอะมากจะต้องไปใช้ยาสเตียรอยด์ สลับไปมาจะสามารถคุมอาการได้

นพ.รัฐภรณ์กล่าวว่า สุดท้ายจะมีครีม ที่จัดอยู่ในกลุ่มครีมบำรุงผิวบางตัว ซึ่งมีประสิทธิภาพช่วยในเรื่องของเซ็บเดิร์มได้ดี ได้แก่ Atopiclair และ Sebclair สามารถ ที่จะใช้แทนครีมบำรุงผิวหรือมอยส์เจอ ไรเซอร์ได้ในการรักษาและป้องกัน แต่ในกรณีที่หยุดใช้ยาแล้ว ยังมีเห่อขึ้นเป็น ครั้งคราว อาจต้องกลับไปใช้กลุ่มยารักษา ที่ได้กล่าวมาเบื้องต้น การใช้น้ำเกลือล้างกรณีเป็นเซ็บเดิร์ม มิใช่การรักษา ใช้ได้ในกรณีที่มีสะเก็ดเยอะๆ สะเก็ดหนาๆ หรือหากจะประคบให้ใช้น้ำต้มสุกสะอาดหรือน้ำต้มสุก ที่ผสมเกลือก็ได้ หรือน้ำเกลือที่หาซื้อได้ทั่วไปก็ได้ ประคบเพื่อให้สะเก็ดมันนุ่มอาจจะใช้น้ำมันมะกอกให้สะเก็ดมันหลุด โดยให้เอาผ้าก๊อซประคบค่อยๆ ดึงออกมาเบาๆ สะเก็ดมันจะหลุดเอง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน