คอลัมน์ ข่าวสดหรรษา

วรนุช มูลมานัส

มีโอกาสติดตามไปรายงานข่าว รองนายกฯ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง ครั้งที่ 7 ที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม หลังจากเสร็จสิ้นการประชุม คณะรองนายกฯ เดินทางต่อมาดูงานท่าเรือเมืองดานัง ตอนกลางเวียดนาม

มาถึงดานังทั้งที ห่างไปอีกแค่ประมาณ 30 ก.ม.เท่านั้น เป็น “ฮอยอัน” เมืองมรดกโลกชื่อดังของเวียดนาม จึงไม่พลาดไปเยี่ยมชม เมืองนี้คนไทยไม่น้อยต่างก็เคยมาเยือนสัมผัส

คณะไปถึงฮอยอันตอนหัวค่ำ เดินลัดเลาะไปตามอาคารบ้านเรือน ที่ยังคงสภาพความเป็นเมืองท่าไว้ตั้งแต่อดีตกาล ไปเรื่อยๆ สักพักก็ถึงถนนริมแม่น้ำ ถือเป็นสายหลักของฮอยอัน เจอผู้คนมากมาย โดนเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวตะวันตก ยุโรปจะหนาตาเป็นพิเศษ

ทุกคนดูเพลินๆ กับสภาพบรรยากาศตรงหน้าอันสวยงาม เพราะผู้คนที่นี่จะปิดไฟ หรือใช้ไฟพอสลัวๆ ในบ้านเรือน เป็นโคมไฟหลากสีแขวนให้ความสว่างบนถนนหนทาง หน้าบ้าน ร้านค้า อย่างพร้อมเพรียงทั้งสองฝั่งแม่น้ำฮอยอัน ที่เป็นแม่น้ำสาขาของแม่น้ำทูโบน ไหลผ่านแบ่งฮอยอันเป็นสองฝั่ง เห็นแล้วต่างตะลึงกับความสวยงามของวิวเบื้องหน้า

ฮอยอันเคยรุ่งเรืองมากในฐานะเมืองท่า ที่มีทั้งชาวจีน ญี่ปุ่น ดัตช์ มาอาศัยทำการค้าอย่างยาวนาน ต่อมาเมื่อมีตะกอนทับถมขึ้นมากเรื่อยๆ จนทำให้ดินดอนสามเหลี่ยมแม่น้ำขยายตัว ทำให้ฮอยอันที่เคยอยู่ติดทะเลกลายเป็นแผ่นดินที่อยู่ลึกเข้ามา จนไม่สามารถเป็นเมืองท่าได้อีก ก่อนจะย้ายไปที่ดานังแทนจนถึงปัจจุบัน

โชคดีที่ฮอยอันรอดพ้นจากการทิ้งระเบิดในช่วงสงคราม จึงทำให้บ้านเรือนและอาคารต่างๆ คงสภาพความดั้งเดิมเก่าแก่ไว้มากมาย เมื่อปีพ.ศ.2542 องค์การยูเนสโกประกาศให้เป็น “มรดกโลก”

เพื่อให้นักท่องเที่ยวดื่มด่ำกับบรรยากาศที่นี่ได้อย่างเต็มที่ ทางการเมืองฮอยอันจึงปิดถนน ไม่ให้รถยนต์ รถจักรยานยนต์วิ่งผ่านเพื่อให้ผู้คนเดินชมวิวทิวทัศน์ได้อย่างปลอดภัย หรือใครจะเช่าจักรยานปั่นก็ไม่ผิดกติกา

อีกจุดที่ทุกคนต้องไม่พลาด คือ “สะพานญี่ปุ่น” สัญลักษณ์ประจำเมือง ทั้งยังเสมือนเป็นจุดแบ่งเขตชุมชนของชาวญี่ปุ่นกับชาวจีนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง

ทุกวันนี้ ฮอยอันเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนไม่ขาดสาย วิธีที่ดีที่สุดก็คือการเดินชมเมืองไปเรื่อยๆ ดื่มด่ำบรรยากาศรอบตัวที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมสวยงาม ร้านค้าขายผลงานทางศิลปะและหัตถกรรม ริมฝั่งแม่น้ำมีอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ บาร์ และร้านอาหารเรียงรายอยู่มากมาย ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้าใช้บริการ

เช้าวันต่อมาเดินทางไปยังเมืองเว้ ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของเวียดนาม และได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปีพ.ศ.2536

โดยเฉพาะ “พระราชวังเว้” สถานที่ประทับของกษัตริย์ทุกพระองค์ ในช่วงปีค.ศ.1802-1935 ก่อนกษัตริย์องค์สุดท้าย “เบ๋าได๋” จะสละราชสมบัติ จากนั้นเวียดนามกลายเป็นประเทศสังคมนิยมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

แม้พระราชวังแห่งนี้จะได้รับความเสียหายจากสงครามระหว่างเวียดนามกับสหรัฐ ในปี พ.ศ.2511 เป็นอย่างมาก แต่เมื่อได้เห็นแม้แค่สิ่งปลูกสร้างที่หลงเหลืออยู่ ก็พอจะรู้ได้ว่าพระราชวังแห่งนี้เคยมีสิ่งปลูกสร้างที่ยิ่งใหญ่อลังการเพียงใด

ให้ความรู้สึกคล้ายๆ กับพระราชวังต้องห้ามของจีน แต่มีขนาดเล็กกว่า โดยปลูกสร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีคูน้ำล้อมรอบตามลำดับชั้น ระหว่างที่เดินชมนึกไปว่าหากบ้านเมืองไม่เกิดภัยสงคราม พวกเราคงได้เห็นสิ่งปลูกสร้างที่ยังคงสมบูรณ์แบบ สวยงามให้ได้ศึกษาชื่นชมมากกว่าที่เป็นอยู่แน่แท้

ออกจากเว้กลับมายังดานัง ไปดื่มด่ำบรรยากาศชายทะเลย่านที่พัก ที่นี่เป็นเมืองชายทะเล ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลจีนใต้ ที่ได้รับความนิยมทั้งจากชาวเวียดนามเองและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก เป็นเมืองที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว

โดยก่อนปี พ.ศ.2540 ดานังยังเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดกว๋างนาม-ดานัง จนกระทั่งวันที่ 1 ม.ค.2540 ดานังถูกแยกออกจาก จังหวัดกว๋างนาม เป็นเขตการปกครอง ส่วนท้องถิ่นแห่งที่ 4 ของเวียดนาม

จึงไม่แปลกใจว่าทำไมสถานที่พักในดานัง ถึงเต็มไปด้วยโรงแรมขนาดใหญ่ระดับ 5 ดาว เน้นจุดขายคือติดชายหาดเพื่อรองรับ นักท่องเที่ยวกระเป๋าหนัก

เรียกได้ว่าหากมาที่ดานังแค่ได้พักโรงแรมดีๆ สักแห่ง ตื่นเช้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้น เดินเล่นชายหาด สูดอากาศที่สดชื่นก่อนจะอิ่มท้องกับอาหารทะเลสดๆ ตอนสายๆ ตกเย็นออกมาดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า เป็นมนต์เสน่ห์ของดานัง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน