ตำรับ ‘บุหงาร่ำผ้า’ หอมติดกระดาน

ตำรับ‘บุหงาร่ำผ้า’ หอมติดกระดาน – พิพิธภัณฑ์ผ้า ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จัดกิจกรรมเชิงปฏิบัติการ “บุหงาร่ำผ้า” ให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมเรียนรู้การทำบุหงาสำหรับร่ำผ้าให้หอมติดกระดานแบบสาวชาววัง โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากโรงเรียนช่างฝีมือในวังหญิง เป็นผู้สาธิต ที่ห้องประชุม พิพิธภัณฑ์ผ้า ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ

เครื่องหอมหลักๆ ที่ชาววังใช้ตั้งแต่โบราณ ได้แก่ “น้ำอบ” กลิ่นหอมเบาบาง ไม่ติดทนนานนัก นิยมใช้สรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ ใช้ชโลมหลังอาบน้ำเพื่อดับร้อน “น้ำปรุง” ลักษณะเหมือนหัวน้ำหอม กลิ่นติดทนนานกว่า “แป้งร่ำ” คือแป้งหินที่อบร่ำ จนหอม ใช้ทาหน้าทาตัว ใช้ผสมน้ำอบเป็น กระแจะเจิม “แป้งพวง” คือแป้งร่ำที่นำมาหยอดเป็นเม็ดเล็กๆ บนเส้นด้ายให้เป็นพวง ใช้บูชาถวายพระ ทำพวงระย้าแขวนตกแต่ง “บุหงา” มีทั้งบุหงาสดและบุหงาแห้ง ใช้บรรจุของชำร่วย ใส่ในหีบผ้าตู้เสื้อผ้า หรือในห้องเพื่อสร้างกลิ่นหอม

ตำรับ‘บุหงาร่ำผ้า’ หอมติดกระดาน

การร่ำผ้าเป็นหนึ่งในขั้นตอนการดูแลผ้าแบบชาววัง การทำความสะอาดเสื้อผ้าอาภรณ์แบบชาววังนั้นไม่เพียงแต่เน้นการซักให้สะอาด และรีดให้เรียบดูสวยงาม แต่ทุกขั้นตอน “ซัก ขัด ร่ำ อัด รีด” ล้วนพิถีพิถันละเอียดประณีต โดยเฉพาะชาววังนั้นประกวดประขันกันในเรื่องเครื่องหอม ทั้งน้ำหอม น้ำอบน้ำปรุง เครื่องร่ำต่างๆ ว่ากันว่าชาววังนางในย่างกรายไปที่ไหนกลิ่นจะหอมกำจรกำจาย ขนาดตัวไปแล้ว แต่กลิ่น ก็ยัง “หอมติดกระดาน” อยู่

ตามตำรับชาววังแท้ๆ หลังซักและรีดผ้าให้สะอาดเรียบดูงามแล้ว ก่อนจะนำไปใช้ยังต้องผ่านกระบวนการร่ำผ้าเพื่อให้มีกลิ่นหอมทนนาน การร่ำผ้าคือการอบหรือปรุงผ้าให้มีกลิ่นหอม โดยใช้วิธีนำผ้าใส่ในโถหรือหีบทึบที่ปิดแน่นสนิท แล้ว “ร่ำ” การร่ำผ้านี้ทำได้หลายวิธี ทั้งร่ำด้วยควันเทียน ร่ำดอกไม้สด และร่ำด้วยน้ำปรุง ร่ำจนกลิ่นกำซาบเข้าเนื้อผ้า ร่ำเสร็จแล้วจึงนำไปรีดให้เรียบหรืออัดจีบเป็นสไบให้สวยงามตามต้องการ เมื่อเสร็จสรรพพร้อมใช้จึงนำไปเก็บไว้ในหีบซึ่งภายในบรรจุดอกไม้สดหอมเพื่อให้กลิ่นหอมติดทนนานจนกว่าจะนำผ้าออกมาใช้

ตำรับ‘บุหงาร่ำผ้า’ หอมติดกระดาน

เครื่องหอมที่ใช้ร่ำผ้าประกอบด้วยดอกไม้และพืชหอมนานาชนิด อาทิ กำยาน กฤษณา จันทน์หอม ชะมดเช็ด เทียนอบ น้ำตาลทรายแดง สารภี ประยงค์ จันทน์กะพ้อ กระดังงา ชะลูด ชมนาด เทียนกิ่ง การะเกด พุทธชาด เขี้ยวกระแต มะลิ ฯลฯ ผู้ใช้อาจเลือกใช้เครื่องหอมแตกต่างกันไปตามความชอบ

วิธีทำบุหงาแห้ง นำกลีบดอกไม้สด เช่น มะลิ กุหลาบมอญ กระดังงา พิกุล บานไม่รู้โรย ชมนาด ไปตากจนแห้งสนิท (ราว 1 สัปดาห์) ดอกกุหลาบควรตากในที่ร่มจะได้สีสวย ดอกมะลิควรตากแดดให้หมดความชื้น นำบุหงาแห้งใส่หม้อเคลือบหรือ โถแก้ว จุดเทียนอบจนไส้เทียนแดงจัด ดับเทียน ควันเทียนจะลอยฟุ้งขึ้นมา วางเทียนบนตะคัน (ถ้วยดินเผาเล็กๆ) ใส่ใน หม้อบุหงาแห้ง แล้วปิดฝาร่ำไว้จนหมดควัน ร่ำราว 10-15 นาที แล้วนำเทียนออกมาจุดใหม่ ร่ำซ้ำๆ 5-7 ตั้ง (ครั้ง) จนบุหงาซับกลิ่นหอมนวลอย่างเต็มที่ ผสมหัวน้ำหอมทั้ง 5 กลิ่น ได้แก่ มะลิ กุหลาบ กระดังงา ไฮยาซินท์ และลำเจียก อย่างละเท่าๆ กัน ฉีดพรมบนบุหงาแห้ง คลุกเคล้าให้เข้ากัน พักไว้

วิธีทำถุงบุหงาแห้ง นำใบโพธิ์บาง 4 ใบประกบกัน เนาหรือด้นตามขอบให้แน่น เว้นช่องไว้ด้านหนึ่งสำหรับบรรจุบุหงาแห้ง แบ่งใบโพธิ์เป็นด้านละ 2 ใบให้กลายเป็นซองตรงกลาง ใส่บุหงาแห้งลงไปให้เต็ม แต่ไม่เยอะเกินจนใบโพธิ์แตก เย็บปิดช่องใส่บุหงา ใส่ริบบิ้นเข้าไปเป็นหูแขวน ติดริบบิ้นตามขอบถุงบุหงาด้วยกาวเพื่อปิดเส้นด้ายทั้งด้านหน้า-ด้านหลัง แล้วตกแต่งถุงด้วยดิ้นทอง ดอกไม้ ใบไม้ นำไปแขวนตกแต่งในห้อง หีบผ้า ตู้เสื้อผ้า หรือให้เป็นของขวัญ ของที่ระลึก ของชำร่วย

ตำรับ‘บุหงาร่ำผ้า’ หอมติดกระดาน

วิธีทำบุหงาสด นำกลีบดอกไม้สด เช่น มะลิ กุหลาบมอญ กระดังงา พิกุล บานไม่รู้โรย ชมนาด มาคลุกรวมกัน ผสมหัวน้ำหอมทั้ง 5 กลิ่น ได้แก่ มะลิ กุหลาบ กระดังงา ไฮยาซินท์ และลำเจียก อย่างละเท่าๆ กัน จะได้หัวน้ำหอมกลิ่นคลาสสิค พรมหัว น้ำหอมลงในกลีบดอกไม้ คลุกเคล้าให้เข้ากันเบาๆ บรรจุบุหงาสดใส่ถุงผ้าโปร่ง ใช้สร้างความหอมในห้องหรือในรถ ไม่ควรเก็บในที่อับ เช่น ตู้เสื้อผ้า เพราะอาจทำให้ดอกไม้ขึ้นรา เมื่อแห้งแล้วจึงใช้งานได้เหมือนบุหงาแห้ง

อ่านข่าว Life Style อื่นๆ

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน