มรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ : กำเนิด : คอลัมน์รู้ไปโม้ด โดย น้าชาติ ประชาชื่น
มรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ – ฉบับวานนี้ (11 ธ.ค.) “เวียงสา” ถามมาว่า ให้ทั้งโขนไทยและโขนกัมพูชาเป็นมรดกโลกทั้งคู่ ไม่เหมือนกันหรือ และมรดกวัฒนธรรมมีเงื่อนไขอย่างไร เมื่อวานตอบเรื่องความต่างของการขึ้นทะเบียนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติ ระหว่าง “ลคอนโขลวัดสวายอันเด็ต” (Lkhon Khol Wat Svay Andet) กับ “โขนไทย” (Khon, masked dance drama in Thailand) ไปแล้ว วันนี้ตอบคำถามว่าด้วยการจะเป็นมรดกภูมิปัญญาวัฒนธรรม
มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม หรือมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Cultural Heritage : ICH) ได้รับการสนับสนุนจากองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก-UNESCO) มุ่งเน้นไปยังวัฒนธรรมส่วนที่จับต้องไม่ได้เป็นหลัก โดยในพ.ศ.2544 ยูเนสโกออกสำรวจเพื่อพยายามตกลงนิยาม ตามด้วยการร่างอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ในพ.ศ.2546 เพื่อการคุ้มครองและสนับสนุนวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้
อนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้อง ไม่ได้ พ.ศ.2546 นิยามไว้ว่า “มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้อง ไม่ได้ หมายถึง การปฏิบัติ การเป็นตัวแทน การแสดงออก ความรู้ ทักษะ ตลอดจนเครื่องมือ วัตถุ สิ่งประดิษฐ์ และพื้นที่ทางวัฒนธรรมอันเป็นผลจากสิ่งเหล่านั้น ซึ่งชุมชน กลุ่มชน และในบางกรณีปัจเจกบุคคล ยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางวัฒนธรรมของตน
“มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ซึ่งถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปยังคนอีกรุ่นหนึ่ง เป็นสิ่งซึ่งชุมชนและกลุ่มชนสร้างขึ้นใหม่อย่างสม่ำเสมอเพื่อตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมของตน เป็นปฏิสัมพันธ์ของพวกเขาที่มีต่อธรรมชาติและประวัติศาสตร์ของตน และทำให้คนเหล่านั้นเกิดความรู้สึกมีอัตลักษณ์และความ ต่อเนื่อง ดังนั้น จึงก่อให้เกิดความเคารพต่อความหลากหลายทางวัฒนธรรมและการคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์”
“เพื่อให้เป็นไปตามจุดประสงค์ของอนุสัญญาฉบับนี้ จะมีการพิจารณาเฉพาะมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้เท่าที่สอดคล้องกับบทบัญญัติที่มีอยู่ด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศเท่านั้น รวมทั้งข้อกำหนดให้มีการเคารพซึ่งกันและกันระหว่างชุมชนทั้งหลาย กลุ่มชน และปัจเจกบุคคล และต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน”
ก่อนที่จะมีอนุสัญญาของยูเนสโก ได้มีความพยายามของประเทศต่างๆ ในการสงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมให้คงอยู่ต่อไป ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกในโลกที่ออกกฎหมายคุ้มครองสมบัติทางวัฒนธรรมเมื่อพ.ศ.2493 คุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมทั้งประเภทที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ ประเทศอื่นๆ อาทิ เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ สหรัฐอเมริกา ไทย ฝรั่งเศส โรมาเนีย สาธารณรัฐเช็ก และโปแลนด์ ต่างก็มีโครงการคล้ายกันในเวลา ต่อมา
อนุสัญญาที่ยูเนสโกประกาศเมื่อปีพ.ศ.2546 (มีผลเมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ.2549) กำหนดให้ประเทศภาคีจัดทำรายชื่อมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ และดำเนินการเพื่อให้มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้สามารถดำรงสืบทอดอยู่ต่อไปได้ นอกจากนี้ยังเปิดช่องให้ระดมเงินบริจาคระหว่างประเทศสมาชิกยูเนสโกมาใช้เพื่อการทำนุบำรุงมรดกที่ขึ้นทะเบียนแล้วอีกด้วย
ยูเนสโกยังมีโครงการอื่นเกี่ยวกับวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ เช่น โครงการขึ้นทะเบียน “Proclamation of Masterpieces of the Oral and Intangible Heritage of Humanity” ซึ่งเริ่มต้นด้วย 19 รายการเมื่อปีพ.ศ.2544 เพิ่มเติมเป็น 28 รายการเมื่อปีพ.ศ.2546 และเป็น 43 รายการในปีพ.ศ.2548 เหล่านี้ดูเหมือนว่าจะเป็นการแก้ไขความไม่สมดุลในโครงการขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลก (World Heritage Sites) ที่ซีกโลกใต้มักจะเสียเปรียบเพราะมีอนุสาวรีย์หรือสิ่งก่อสร้างที่สำคัญจำนวนไม่มากเท่าซีกโลกเหนือ
ท้ายที่สุดโครงการนี้ได้รับการทดแทนโดยการจัดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม หรือมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้อง ไม่ได้ โดยองค์การยูเนสโก ในปีพ.ศ.2551