สถานการณ์โรคเรื้อนรักษาหายได้-ไม่ระบาด

 

โรคเรื้อนรักษาหายได้ สถานการณ์โรคเรื้อนรักษาหายได้-ไม่ระบาด ในทุกปี จะมีการรณรงค์ประชาสัมพันธ์เรื่องโรคเรื้อน โดยถือวันโรคเรื้อนโลก คือวันที่ 27 มกราคม ของทุกปี

นพ.กฤษฎา มโหทาน นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรคเรื้อน สถาบันราชประชาสมาสัย กล่าวว่าสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ได้ตระหนักถึงปัญหาเรื่องของโรคเรื้อน ซึ่งเป็นโรคติดต่อเรื้อรัง ซึ่งในรอบหลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยอยู่ในช่วงของการเฝ้าระวัง ทำให้โรคเรื้อนไม่เป็นปัญหาสำหรับระบบสาธารณสุขของประเทศไทย

โรคเรื้อนรักษาหายได้

จากข้อมูล 5 ปีย้อนหลัง (ปี 2557-2561) จำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อนรายใหม่ในประชากรไทยมีแนวโน้มลดลง คือ 208, 187, 163, 164 และ 124 ราย

สำหรับจำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อนรายใหม่ใน ประชากรต่างด้าวที่ตรวจพบในประเทศ ไทยในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2557-2561) มีตามลำดับดังนี้คือ 47, 44, 40, 28 และ 32 ราย

โรคเรื้อนเป็นโรคติดต่อเรื้อรังที่เกิดจาก เชื้อแบคทีเรีย ชื่อ ไมโคแบคทีเรียม เลปแปร (Mycobacterium leprae) สามารถติดต่อ ได้โดยทางเดินหายใจ แต่ติดต่อได้ยาก ผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงสูงในการติดเชื้อโรคเรื้อนคือผู้ที่สัมผัสคลุกคลีใกล้ ชิดกับผู้ป่วยที่ยัง ไม่ได้รับการรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยเชื้อมาก ซึ่งผู้ที่ได้รับเชื้อและเกิดโรคเรื้อน จะเป็นคนที่มีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคเรื้อนผิดปกติเท่านั้น

ข้อมูลทางสถิติพบว่าผู้รับเชื้อโรคเรื้อน 100 คน จะมีโอกาสเป็นโรคเรื้อนได้เพียง 3 คน

อาการของโรคเรื้อน ได้แก่ ผื่นผิวหนัง เป็นวงด่างสีจางหรือแดงกว่าผิวหนังปกติ บริเวณรอยโรคแห้ง เหงื่อไม่ออก อาจพบขนร่วง ที่สำคัญคือรอยโรคมีอาการชา ไม่คัน หรือเป็นผื่นนูนแดง ตุ่มแดง ไม่คัน

อาการที่พบจะเป็นเรื้อรังนานมากกว่า 3 เดือน ใช้ยากินยาทาทั่วไป (ที่ไม่ใช่ยารักษาโรค) แล้วไม่ทุเลาเนื่องจากอาการเริ่มแรกของโรคนั้น ไม่มีอาการคัน หรือเจ็บปวดทำให้ผู้ป่วยชะล่าใจ คิดว่าไม่ใช่โรคร้ายแรง จึงไม่รีบเข้ารับการรักษา ทำให้โรคลุกลามเป็นมากขึ้น อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนส่งผลให้เกิดความพิการได้ในที่สุด

ดังนั้นประชาชนทั่วไปควรหมั่นตรวจร่างกายของตนเองและบุคคลใกล้ชิด หากมีอาการดังที่กล่าวมาควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยต่อไป

โรคเรื้อนเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ ส่วนความพิการที่เกิดขึ้นแล้วหรือความเสี่ยงต่อความพิการในอนาคตนั้น ถ้าได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มเป็น รวมทั้งปฏิบัติตัวตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด ก็สามารถหยุดยั้งความพิการไม่ให้เกิดขึ้นหรือไม่ให้เพิ่มขึ้นได้

โดยผู้ป่วยควรปฏิบัติ ดังนี้

1.รับการรักษาตามที่แพทย์นัด และรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง สำหรับผู้ป่วยที่มีเชื้อน้อยใช้เวลารักษาต่อเนื่อง 6 เดือน ผู้ป่วยเชื้อมากใช้เวลารักษาต่อเนื่อง 2 ปี สิ่งสำคัญคือ ครอบครัวหรือคนดูแลต้องให้กำลังใจผู้ป่วยให้รับการรักษาและกินยาต่อเนื่อง ตามคำแนะนำของแพทย์

2.หากมีความเสี่ยงหรือมีความพิการแล้วให้ดูแลตนเองตามคำแนะนำของแพทย์

3.รักษาความสะอาดของร่างกาย เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ และลดความรังเกียจจากคนรอบข้าง เนื่องจากประชาชนบางส่วนเชื่อว่าคนเป็นโรคเรื้อน มักเป็นคนที่ขาดสุขอนามัยที่ดี

4.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังสม่ำเสมอเพื่อสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย

5.ทำจิตใจให้ผ่องใสไม่เครียด ไม่วิตกกังวล และปฏิบัติกิจวัตรตามปกติ

ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเรื้อน เมื่อได้รับการรักษาแล้วจะหายขาดจากโรค และไม่แพร่เชื้อ เพราะยาไรแฟมพิซีน (Rifampicin) ซึ่งเป็นยาหลักที่ใช้ในการรักษาโรคเรื้อนในสูตรยาผสมระยะสั้น (Multidrug therapy : MDT) มีประสิทธิภาพสูงในการทำลายเชื้อโรคเรื้อนได้อย่างรวดเร็ว ผลการศึกษาพบว่า การให้ยาไรแฟมพิซีน (Rifampicin) ขนาด 600 ม.ก. เพียงครั้งแรก สามารถฆ่าเชื้อโรคเรื้อนได้ถึง 99.9% ภายใน 3-7 วัน จึงทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถแพร่เชื้อต่อไปได้อีก

ในบางคนที่มีความพิการเกิดขึ้นก่อนมารับการรักษา แม้รักษาหายจากโรค แต่อาจหลงเหลือความพิการได้

อย่างไรก็ตามผู้พิการเหล่านี้จะไม่ แพร่เชื้อ สามารถอยู่ร่วมกับคนในครอบครัว สังคม พูดคุย และรับประทานอาหารร่วมกันได้ อีกทั้งสามารถประกอบอาชีพได้เฉกเช่นเดียวกับคนทั่วไป

…อ่านข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้ที่….

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน