เปิดศูนย์เรียนรู้ฯบ้านสวนวันเพ็ญ จับเข่าคุยหมอดินอาสา‘ขั้นเทพ’

เปิดศูนย์เรียนรู้ฯ – หากใครได้ไปเยือนศูนย์ฝึกอาชีพชุมชนเกษตรกรรมธรรมชาติ “วันเพ็ญ สนลอย” เลขที่ 62/1 หมู่ที่ 5 ต.ไม้เค็ด อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี จะสัมผัสได้ถึงความร่มรื่นของต้นไม้น้อยใหญ่ที่ให้ดอกออกผลแตกต่างกันไปในแต่ละฤดูกาล ซึ่งในสวนแห่งนี้มีพืชผักผลไม้นานาชนิดให้ได้เก็บกินกันทั้งปี รวมถึงพืชผักสวนครัวต่างๆ

“นางวันเพ็ญ” วัย 57 ปี ถือเป็นเกษตรกรตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่าอาชีพเกษตรก็สามารถมีเงินเป็นแสนเป็นล้านได้ ซึ่งเธอนั้นเป็นเกษตรกรอินทรีย์ที่ทำครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ พร้อมกันนั้นยังได้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ให้กับผู้สนใจทั่วไป

ด้วยความรู้ความสามารถในการทำเกษตร ทำให้ได้รับรางวัลจากหลายหน่วยงาน อาทิ ปี 2556 ได้รับคัดเลือกให้เป็นบุคคลดีเด่นของมูลนิธิสมาน-คุณหญิงเบญจา แสงมลิ สาขาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ทั้งยังเป็นหมอดินอาสาประจำ จ.ปราจีนบุรี และเป็นวิทยากรให้กับสำนักงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจ.ปราจีนบุรี รวมถึงอีกหลายหน่วยงาน

เปิดศูนย์เรียนรู้ฯบ้านสวนวันเพ็ญ จับเข่าคุยหมอดินอาสา‘ขั้นเทพ’ : รายงานพิเศษ

ปลูกถั่วฝักยาวเป็นรายได้เสริม

กว่า 20 ปีแล้ว ที่เธอเปิดบ้านและสวนในเนื้อที่ 20 กว่าไร่ เป็นศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจ พอเพียง เป็นศูนย์เรียนรู้ครูเกษตรกรบ้านสวนวันเพ็ญ และเป็นศูนย์ฝึกอาชีพชุมชนเกษตรกรรมธรรมชาติ มีคณะต่างๆจากทั่วประเทศมาศึกษาดูงาน เพราะเป็นสวนที่ประสบความสำเร็จในการปลูกพืชผักผลไม้ โดยใช้ปุ๋ยชีวภาพและฮอร์โมน อันเป็นสูตรที่เธอศึกษาเรียนรู้และคิดค้นขึ้นเอง ขณะเดียวกันก็ผลิตปุ๋ยและฮอร์โมนต่างๆ ไว้ขาย รวมทั้งแปรรูปผักและผลไม้ในสวนเพื่อเพิ่มมูลค่า และยังขายกิ่งพันธุ์ด้วย

อย่างไรก็ตามกว่าจะมาอยู่ในจุดนี้ได้อย่างมั่นคง เธอก็เหมือนเกษตรกรทั่วไปในบ้านเราที่ในอดีตล้วนใช้ปุ๋ยเคมีตั้งแต่ยุคพ่อแม่ กระทั่งมาค้นพบว่าเกษตรเคมีไม่ใช่คำตอบของการอยู่รอด ที่สำคัญยังทำให้สุขภาพแย่ลง

เปิดศูนย์เรียนรู้ฯบ้านสวนวันเพ็ญ จับเข่าคุยหมอดินอาสา‘ขั้นเทพ’ : รายงานพิเศษ

“แต่ก่อนนี้ดิฉันก็ใช้ปุ๋ยเคมี แม้จะขายผลผลิตได้เงินมาหลักแสนแต่ก็ไม่มีเงินเหลือเพราะต้องใช้จ่ายไปกับค่าปุ๋ยค่ายา ขณะที่สุขภาพก็แย่ลง และกลัวว่าตัวเองจะเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต เลยหันมาทำเกษตรอินทรีย์เมื่อปี 2540 พร้อมยึดแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง รัชกาลที่ 9 ส่งผลให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น มีเงินออมและสามารถนำไปซื้อที่ดินเพิ่มขึ้นอีกจากเดิมมีแค่ 3 ไร่ เพิ่มเป็น เกือบ 20 ไร่และอีกแปลงมี 23 ไร่”

นางวันเพ็ญเล่าอีกว่า นอกจากจะทำเกษตรแล้ว ยังเป็นที่ปรึกษาให้กับเกษตรกรทั่วไป โดยสอนตั้งแต่เรื่องการเตรียมดิน จนถึงเก็บเกี่ยวทำอย่างไรถึงจะลดต้นทุนได้ ทำอย่างไรจะอยู่แบบเศรษฐกิจพอเพียงและยั่งยืน ส่วนใหญ่เกษตรกรจะสนใจเรื่องการทำปุ๋ย การทำฮอร์โมน ซึ่งเป็นเรื่องการลดต้นทุน และก็มีเรื่องของดิน เนื่องจากดินปลูกแล้วพืชไม่งาม ปลูกแล้วเป็นโรค

สำหรับปุ๋ยและฮอร์โมนชีวภาพที่ผลิตเองเกือบ 20 ชนิด เธอขายให้กับเกษตรกรทั่วไป ขณะเดียวกันก็มีบริษัทสั่งผลิตไปขายด้วย อย่างเช่น ฮอร์โมนเร่งรากกระชากใบ ฮอร์โมนเร่งใบเร่งยอด ฮอร์โมนสะสมอาหาร ฮอร์โมนเปิดตาดอก ฮอร์โมนกระชากตาดอก ฮอร์โมนขั้วเหนียวติดดอก และก็มียาฆ่าแมลง มียาฆ่าเชื้อรา ฆ่าหนอนแมลง ฆ่าเพลี้ยไฟไรแดง แมลงวันทอง รวมถึงฆ่าปลวกฆ่ามด

ในการแนะนำเกษตรกรนั้น นางวันเพ็ญบอกว่า อยากให้เกษตรกรทำเกษตรอินทรีย์ ทั้งนี้ต้องดูพื้นที่ทำการเกษตรของแต่ละคนก่อนว่ามีกี่ไร่ สมมติมี 5 ไร่ ถ้าปลูกทุเรียนหรือปลูกมะม่วงก็ควรปลูกพืชอื่นแซม เพื่อให้มีรายได้แบบเอาน้องไปเลี้ยงพี่ อย่างเช่นที่สวนจะปลูกพริกเต็มไปหมด จะมีพ่อค้าแม่ค้ามาเก็บทุกวัน และจะจ่ายเงินให้ครั้งละ 500-600 บาท เงินก้อนนี้สามารถเก็บไว้เป็นเงินในอนาคตได้เลย

สวนของนางวันเพ็ญนั้นมีผลไม้นานาชนิดไม่ว่าจะเป็นทุเรียน มะปราง มะยงชิด มะม่วง เงาะ พืชผักและสมุนไพรต่างๆ โดยทุเรียนนั้นปลูกแบบยกร่อง

ในการทำปุ๋ยและฮอร์โมนนั้น หมอดินรายนี้อธิบายว่า จะต้องเรียนรู้ถึงธาตุอาหารที่พืชต้องการทั้งไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซียม จะนำมาทดแทนเคมีได้อย่างไร จะหาได้จากตรงไหน โดยใช้วิธีการดูว่าพืชผักที่ปลูกนั้นชอบน้ำ ชอบไนโตรเจนหรือไม่ หากพืชผักตัวไหนที่มีไนโตรเจนสูงก็ใช้ตัวนั้นมาหมัก หรือให้หาปลาป่นมาแช่ แต่ตอนนี้ให้เกษตรกรเลิกใช้กากน้ำตาลในการหมัก เพราะมีความหวานอาจเกิดเชื้อรา สิ่งที่นำมาใช้ทดแทนกากน้ำตาลอาจใช้น้ำขี้เถ้าคือน้ำด่าง หรือใช้ขมิ้นแทน

นางวันเพ็ญแจกแจงรายละเอียดเกี่ยวกับการผลิตฮอร์โมนแก้โรครากและโคนเน่าว่า เกษตรกรสามารถทำเองได้เริ่มจากเตรียมถัง 200 ลิตร นำขี้เถ้าแช่น้ำไว้ 2-3 คืน ตักน้ำขี้เถ้าใสๆ ใส่ขมิ้นลงไป เป็นขมิ้นผง ขมิ้นสด หรือขมิ้นแห้งก็ได้ ถ้าเป็นขมิ้นสดใส่ 3-5 กิโลกรัม (ก.ก.) ถ้าเป็นขมิ้นผง ใส่ 1-2 ก.ก. ใส่ปูนกินหมากผสมลงไปอีก 1-2 ก.ก. ผสมกระดูกปลาป่น เพื่อสร้างแคลเซียมให้ต้น คนส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากัน น้ำจะออกเป็นสีแดง

ส่วนวิธีใช้ นำไปฉีดทางใบ หรือรดทางดิน อัตราการฉีดพ่นทางใบ สารชีวภาพ 200 ซีซี ต่อน้ำ 200 ลิตร อัตราการรดทางดิน สารชีวภาพ 1 ลิตร ต่อน้ำ 200 ลิตร ใช้รักษาได้ทั้งโรครากและโคนเน่า

สำหรับสูตรฆ่าปลวกฆ่ามดชนิดผง เธอแจกแจงว่า ใช้สมุนไพร 20 กว่าอย่าง มีขมิ้น กลอย รวมทั้งยาเส้น ใบสะเดา ใบยูคาลิปตัสและใบสัก ฯลฯ แล้วนำมาปั่นกับพริกแกง สูตรนี้ขอบอกว่าได้ผลดีจริงๆ มดตายเรียบ และไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพด้วย (สนใจโทร. 08-1803-4930, 0-3740-5026)

นอกจากนี้เธอยังแนะนำว่า เกษตรกรทำปุ๋ยน้ำชีวภาพ พด.2 หรือที่เรียกว่าสูตรรวมมิตรใช้เองได้ ไม่ต้องพึ่งปุ๋ยเคมี ส่วนผสมของปุ๋ยอินทรีย์น้ำ ประกอบด้วยถัง 200 ลิตร พร้อมเศษกุ้ง หอย ปู ปลา 30 ก.ก. กากน้ำตาล 30 ก.ก. เศษพืชผักผลไม้ 20 ก.ก. หน่อกล้วย 1-2 หน่อ น้ำมะพร้าว น้ำซาวข้าว น้ำล้างหมู หรือปลา ใส่พอประมาณเกือบเต็มถัง สารเร่งซูปเปอร์ พด.2 1 ซอง (ขอจากสถานีพัฒนาที่ดิน)

นำสารเร่งซูปเปอร์ พด.2 ผสมน้ำคนให้เข้ากัน นำหน่อกล้วยมาสับให้ละเอียด นำกากน้ำตาล หรือใช้น้ำตาลทรายแดง หรือน้ำอ้อยใส่ลงในถัง 200 ลิตร เทสารเร่งซูปเปอร์ พด.2 ลงในถัง นำเศษกุ้งหอยปูปลา และเศษพืชผักผลไม้ สับใส่ลงไป คนให้เข้ากัน ปิดฝาหลวมๆ ตั้งไว้ในที่ร่ม หมักไว้ 3 เดือน จะได้ธาตุอาหารหลัก หมัก 6-9 เดือน จะได้ธาตุอาหารรอง และหมักไว้ 12 เดือน จะได้ธาตุอาหารเสริม หากเกิดกลิ่นเน่าเหม็นให้เติมกากน้ำตาล 5-10 ก.ก.ประมาณ 1 สัปดาห์กลิ่นจะหอมขึ้น ปุ๋ยน้ำนี้จะช่วยเร่งการเจริญเติบโตของรากพืช ทำให้เกิดการงอกของเมล็ด เพิ่มการเจริญเติบโตและขยายตัวของใบและยืดตัวของลำต้น

ใครผ่านไปแถวจ.ปราจีนบุรีแวะเวียนไปชมศูนย์แห่งนี้ได้ และหากมีโอกาสสนทนากับเกษตรกรรายนี้จะทำให้ได้รู้ว่าการทำเกษตรนั้นรวยได้ไม่ยาก โดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง รัชกาลที่ 9 ซึ่งจะส่งผลให้ชีวิตอยู่ดีมีสุข

ภาวิณีย์ เจริญยิ่ง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน