เด็กไทย 1 ใน 5 เผชิญความยากจน
เด็กไทย 1 ใน 5 เผชิญความยากจน – สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ และองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย แถลงผลการศึกษาล่าสุดด้านความยากจนหลายมิติของเด็ก พบว่าในประเทศไทยมีเด็กประมาณ 1 ใน 5 หรือร้อยละ 22 กำลังเผชิญความยากจน ในหลายมิติ โดยเฉพาะด้านสุขภาพและการศึกษา ส่วนใหญ่เป็นเด็กที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นพื้นที่ที่มีสัดส่วนความยากจนหลายมิติของเด็กสูงสุด
ประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกๆ ของโลกที่มีการใช้ดัชนี ชี้วัดความยากจนหลายมิติของเด็ก (Child Multidimensional Poverty Index หรือ Child MPI) สภาพัฒน์และยูนิเซฟร่วมกันพัฒนาดัชนีชี้วัดนี้โดยได้รับการสนับสนุนทางด้านวิชาการจากโครงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และแก้ไขความยากจนแห่งมหาวิทยาลัย ออกซ์ฟอร์ด
การใช้ดัชนีชี้วัดความยากจนหลายมิติของเด็กไม่ได้นำมิติด้านการเงินของครัวเรือนมาวิเคราะห์ แต่นำมิติอื่นๆ ของเด็ก ได้แก่ มิติด้านการศึกษา มิติด้านสวัสดิภาพเด็ก มิติด้านมาตรฐานความเป็นอยู่ และมิติด้านสุขภาพ อันเป็น 4 ประเด็นสำคัญเร่งด่วนของประเทศมาวิเคราะห์ โดยใช้ข้อมูลจากการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทยปี พ.ศ. 2558-2559
ผลการศึกษาชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่าเด็กยากจนหลายมิติส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตชนบท คิดเป็นร้อยละ 23 ขณะที่เด็กที่ยากจนหลายมิติที่อยู่ในเขตเมืองมีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 19 และเมื่อพิจารณาตามภูมิภาคพบว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นพื้นที่ที่มีสัดส่วนความยากจนหลายมิติของเด็กสูงสุด ตามด้วยภาคเหนือ ขณะที่กรุงเทพมหานครมีระดับความยากจนหลายมิติของเด็กน้อยที่สุด
ซึ่งงานศึกษาชิ้นนี้ยังพบว่าจังหวัดแม่ฮ่องสอนและจังหวัดตากเป็นสองจังหวัดที่เผชิญความยากจนในระดับรุนแรงที่สุด คือต้องเผชิญความยากลำบากในหลากหลายด้านมากที่สุด นอกจากนี้ ยังชี้ให้เห็นว่าเด็กในแต่ละภูมิภาคประสบความยากจนในมิติที่แตกต่างกัน
ยกตัวอย่างเช่น ในจังหวัดสตูล ความยากไร้ด้านการศึกษาของเด็กเป็นปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดความยากจนในเด็ก ในขณะที่เด็กในภาคตะวันออกเฉียงเหนือกลับเผชิญความยากลำบากในมิติที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพมากที่สุด
นอกจากนี้ ยังพบว่าหากหัวหน้าครัวเรือนมีการศึกษาในระดับที่ต่ำ เด็กในครัวเรือนนั้นๆ มีแนวโน้มที่จะเผชิญความยากจนหลายมิติด้วยเช่นกัน ความยากจนหลายมิติยังแตกต่างในแต่ละกลุ่มอายุของเด็กอีกด้วย โดยพบว่าร้อยละ 42 ของเด็กอายุ 0-4 ขวบ เผชิญความยากจนหลายมิติ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าช่วงอายุอื่น ขณะที่กลุ่มวัยรุ่น (15-17 ปี) เป็น กลุ่มที่ประสบความยากจนหลายมิติในระดับรุนแรงที่สุด
การศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าความยากจนในเด็กในประเทศไทยลดลงอย่างมากในระหว่างพ.ศ. 2548-2559 ทั้งในสัดส่วนของเด็กยากจนและระดับความรุนแรงของความยากจน สะท้อนให้เห็นความก้าวหน้าของประเทศไทยในการแก้ปัญหาความยากจนในเด็ก
อย่างไรก็ดี ประเทศไทยยังคงต้องเร่งพัฒนาความ เป็นอยู่ของเด็ก เพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ที่มีคุณภาพในอนาคต โดยเฉพาะในภาวะที่ประเทศไทยเป็นสังคมสูงวัย
นายโธมัส ดาวิน ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า “การวัดความยากจนหลายมิติในเด็กเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยทำให้แน่ใจว่าเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังตามบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน การศึกษาครั้งนี้ทำให้เราได้ข้อมูลเจาะลึกสำคัญ ที่ระบุว่าใครคือกลุ่มเด็กที่เปราะบางที่สุด
โดยพิจารณาจากมิติอื่นๆ เช่น การศึกษา และสุขภาพ ข้อมูลเหล่านี้คือจุดเริ่มต้น ที่จะนำไปสู่การพัฒนานโยบายและการกำหนดงบประมาณที่เหมาะสม ยูนิเซฟมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับภาคีต่างๆ ที่จะสร้างความเข้มแข็งด้านนโยบายเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีเด็กคนใดในประเทศไทยตกอยู่ในความยากจนในทุกมิต”
ผลการศึกษาด้านความยากจนหลายมิติของเด็กนี้จะช่วยลดสัดส่วนเด็กยากจนในประเทศไทยทั้งหมดได้อย่างรวดเร็วหาก ได้รับการพัฒนาและต่อยอดให้สอดคล้องกับ ความต้องการของเด็ก โดยเฉพาะกลุ่มเด็กยากจน ทั้งนี้จะมีการจัดทำการศึกษานี้อย่างต่อเนื่อง ผลการศึกษาครั้งถัดไปจะเกิดขึ้นปลายปี 2563