‘ไมเกรน’ยุคใหม่รักษาด้วยยาต้านสาร CGRP

‘ไมเกรน’ยุคใหม่ – ‘ไมเกรนถือเป็นโรคทางระบบประสาทชนิดเรื้อรัง ส่งผลต่อการทำงาน รวมถึงคุณภาพชีวิตแย่ลง

เรืออากาศโท นพ.กีรติกร ว่องไววาณิชย์ อายุรแพทย์สมองและระบบประสาท ..กรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า ผู้ป่วยไมเกรนพบได้มากถึงร้อยละ 20 ของประชากร โดยผู้หญิงมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ชาย 2-3 เท่า

‘ไมเกรน’ยุคใหม่

ปัจจัยเสี่ยงได้แก่ ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ การรับประทานอาหารที่มีสารไทรามีน เช่น ชีส โยเกิร์ต เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน หรือ แอลกอฮอล์ รวมทั้งระดับฮอร์โมนเพศหญิงช่วงมีประจำเดือน

เวลามีอาการไมเกรนขึ้นมา จะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะรุนแรงมักป็นข้างใดข้างหนึ่ง ปวดแบบตุ้บๆ เป็นจังหวะ ร่วมกับมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ร่วมกับมีอาการไวต่อสิ่งกระตุ้นจากภายนอกเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะแสงจ้า เสียงดัง หรือ กลิ่นฉุน ในบางครั้งอาจมีรุนแรงมากจนถึงขั้นต้องหยุดงานนอนพักกันทีเดียว

‘ไมเกรน’ยุคใหม่

ปัจจุบันมีการค้นพบสาร Calcitonin Gene-related Peptide หรือ เรียกย่อๆ ว่า CGRP เป็นนิวโรเปปไทด์ชนิดหนึ่งในร่างกาย มีผลทำให้หลอดเลือดในสมองขยายตัวและกระตุ้นอาการปวดผ่านเส้นประสาท สาร CGRP นี้มีปริมาณสูงขึ้นในคนที่เป็นไมเกรน

ดังนั้นการใช้ยาฉีดยับยั้งสาร CGRP นี้ จึงเป็นหนึ่งในทางเลือกสำหรับผู้ป่วยไมเกรน ทำให้สามารถป้องกันและควบคุมอาการปวดศีรษะไมเกรนได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

‘ไมเกรน’ยุคใหม่

เรืออากาศโท นพ.กีรติกรกล่าวอีกว่า เวลาเกิดอาการปวดศีรษะ เรามักจะหายาแก้ปวดมารับประทาน โดยกลุ่มยาที่ใช้รักษาอาการปวดแบบเฉียบพลัน เช่น ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ยากลุ่มทริปแทน (triptans) และยากลุ่มเออร์โกตามีน (ergotamine)

แต่สำหรับคนที่เป็นไมเกรนนั้น บางคนอาจจะมีอาการปวดศีรษะได้บ่อยเกือบทุกวัน ดังนั้นการรักษาแบบป้องกันจึงมีความสำคัญในคนไข้กลุ่มที่เป็นโรคปวดศีรษะไมเกรน โดยเฉพาะในผู้ที่ปวดศีรษะบ่อย มีความรุนแรงในการปวดมาก ไม่ตอบสนองต่อยาแก้ปวดที่กิน หรือมีข้อห้ามหรือมีผล ข้างเคียงจากการใช้ยาแก้ปวด

‘ไมเกรน’ยุคใหม่

ยาป้องกันไมเกรนชนิดรับประทานที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เช่น ยากันชัก ยาต้านเศร้า ยาลดความดัน ซึ่งยาเหล่านี้เป็นยาที่ไม่ได้ผลิตมาเพื่อการรักษาและป้องกันโรคไมเกรนโดยตรง แต่สามารถนำมาใช้ลดความถี่และความรุนแรงของไมเกรนได้

ส่วน CGRP ออกฤทธิ์เกี่ยวกับกลไกการรับความปวดผ่านเส้นประสาทสมอง โดยเฉพาะเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 ซึ่งเป็นเส้นประสาทหลักในการนำความปวดบริเวณศีรษะ ต้นคอ และใบหน้า และยังมีฤทธิ์ทำให้เส้นเลือดสมองเกิดการขยายตัว

ในคนที่เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรนเฉียบพลัน จะพบว่ามีสาร CGRP ในเลือดสูงขึ้นมากกว่าคนปกติ ซึ่งการค้นพบสาร CGRP นี้ ได้นำไปสู่การพัฒนายาเพื่อไปยับยั้งสาร CGRP ในปัจจุบันมียาที่ยับยั้งสาร CGRP อยู่ 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ CGRP monoclonal antibody และ CGRP receptor antagonist

จากการศึกษาในคน พบว่ายาในกลุ่ม CGRP monoclonal antibody สามารถลดจำนวนวันที่ปวดไมเกรน และลดปริมาณการใช้ยาแก้ปวด รวมทั้งยังเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วยไมเกรนอีกด้วย การศึกษาในผู้ป่วยไมเกรนชนิดรักษายาก เช่น ไมเกรนชนิดเรื้อรัง ไมเกรนชนิดที่ไม่ตอบสนองต่อยาป้องกันชนิดอื่นๆ

และไมเกรนชนิดที่มีการใช้ยาแก้ปวดเกินขนาด จะตอบสนองต่อยาในกลุ่ม CGRP monoclonal antibody ได้ดีกว่ายาป้องกันชนิดกินอื่นๆ โดยยากลุ่มนี้จะฉีดเข้าใต้ผิวหนัง มีข้อดี คือ ในการฉีดแต่ละครั้ง จะมีฤทธิ์ในการป้องกันนานประมาณ 1 เดือน จึงช่วยลดปัญหาการลืมรับประทานยา และยังมีผลข้างเคียงจากยาน้อยกว่ายาป้องกันไมเกรนกลุ่มอื่นอย่างชัดเจน

ผลข้างเคียงที่พบมากกว่ายาหลอก เช่น เจ็บหรือมีรอยแดงบริเวณที่ฉีดยา ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน และท้องผูก ซึ่งเป็นผลข้างเคียงชนิดไม่รุนแรง ส่วน ในด้านความปลอดภัยระยะยาว โดยการติดตามผู้ที่ใช้ยาประมาณ 3-5 ปี พบว่า CGRP monoclonal antibody มีความปลอดภัยสูงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจไม่เปลี่ยนแปลง รวมทั้งไม่มีผลต่อการทำงานตับ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน