คอลัมน์ แมวสำคัญของโลก ตอน แมวของ อับราฮัม ลินคอล์น โดย…ขึ้นหนึ่งค่ำ

แมวสำคัญของโลก – “ขอบคุณพระเจ้าที่แกเป็นแมวและไม่เข้าใจความขัดแย้งอันน่ากลัวที่กำลังเกิดขึ้น”

โดยทั่วไปผู้คนจะทราบกันดีว่า อับราฮัม ลินคอล์น เป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกานำพาประเทศผ่านพ้นสงครามกลางเมืองอเมริกา รักษาความเป็นสหภาพของสหรัฐอเมริกาเอาไว้ได้ นอกจากนี้เขายังนำทางไปสู่การเลิกทาสอีกด้วย

แต่ก็ยังมีแง่มุมอีกด้าน ที่ผู้คนที่สนใจประวัติชีวิตของ อับราฮัม ลินคอล์น ชื่นชมและพูดถึงกันบ่อยๆเช่นเดียวกันนั่นคือในแง่มุมของความเป็นคนที่รักและเมตตาต่อสัตว์เป็นอย่างมาก

นายวิลเลียม เฮิร์นดอน ที่ปรึกษาทางกฎหมายของลินคอล์น เคยกล่าวกับสื่อมวลชนว่า อับราฮัม ลินคอล์น เป็นคนที่อ่อนไหวและอ่อนโยนมาก ดังนั้นเวลาที่พูดคุยหรือติดต่อสื่อสารกับคนอื่นเขาจึงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างอ่อนโยน และรักษาน้ำใจ หลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจจะกระทบกระเทือนจิตใจผู้อื่น อ่อนน้อมถ่อมตนเหนือกว่าคนอื่นๆ โดยไม่สนใจตำแหน่งหรือสถานะของตนเองเลย

ความมีจิตใจอ่อนโยน เมตตาของ อับราฮัม ลินคอล์น นอกจากมีต่อมนุษย์ผู้อื่นแล้ว เขายังเผื่อแผ่ความรักและเมตตาไปยังสัตว์ต่างๆอีกด้วย

เมื่อครั้ง อับราฮัม ลินคอล์นได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี เขาได้รับของขวัญที่ไม่คาดคิดคือลูกแมวสองตัวจากรัฐมนตรีต่างประเทศ วิลเลียม ซีเวิร์ด ในเดือนสิงหาคมปี 2404 โดยลินคอล์นตั้งชื่อมันว่าแทบบี้กับดิกซี่

ภาพแทบบี้

หลังจากนั้นลินคอล์นก็เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับแมว ครั้งหนึ่งระหว่างรับประทานอาหารค่ำอย่างเป็นทางการที่ทำเนียบขาว ลินคอล์นก็เผลอตัวใช้ส้อมของตัวเองจิ้มอาหารป้อนเจ้าแทบบี้ มารีทอดด์ ลินคอล์น ภรรยาของเขาก็รู้สึกอับอายขายหน้ายิ่งนัก ที่ลินคอล์นทำตัวเสียมารยาทต่อหน้าแขก

แต่ประธานาธิบดีกลับตอบว่า “ถ้าส้อมทองคำเหมาะสำหรับอดีตประธานาธิบดีเจมส์ บูคานันฉันก็ว่ามันเหมาะสำหรับแทบบี้แหละ”

เห็นได้ชัดว่าเจ้าเหมียวสามารถเอาชนะใจอับราฮัม ลินคอล์น ด้วยความสุภาพและสงบเงียบ ถึงขนาดที่ว่าลินคอล์นเคยพูดด้วยความหงุดหงิดว่า “ดิกซี่ยังจะฉลาดกว่าคณะรัฐมนตรีทั้งหมดของฉันซะอีก!… แถมมันก็ไม่เถียงด้วย! ”

ภาพดิกซี่

ลินคอล์นมีความผูกพันใกล้ชิดเป็นพิเศษกับแมวจรจัด นางลินคอล์นถึงกับเรียกแมวว่า ” งานอดิเรกของสามี”

เรื่องนี้เห็นได้ชัดเจนขึ้นเมื่อ อับราฮัม ลินคอล์น อยู่ในช่วงระหว่างการบุกโจมตี ปีเตอร์สเบิร์กในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1865 (เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่เขาจะถูกลอบสังหาร) เขาเฝ้าติดตามสงครามกลางเมืองอย่างใกล้ชิด

แต่ลินคอล์นกลับรักษาสมาธิไม่ได้เลย และกระวนกระวายไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่งเพราะระหว่างนั้นเขาได้ยินเสียงแมวร้องอยู่ที่ไหนสักแห่งอยู่ตลอดเวลา จนต้องออกตามหาจนในที่สุดก็พบลูกแมวน้อยจรจัดสามตัวแอบอยู่ในห้องส่งสัญญาณโทรเลข

ผู้พันเรือเดวิด พอร์เตอร์ เขียนในภายหลังว่าเขาเห็นประธานาธิบดี “จุมพิตแมวจรจัดสามตัวอย่างอ่อนโยน มันแสดงให้เห็นถึงความใจดี มีเมตตา มีหัวใจของวัยเยาว์ที่ผสมผสานกับความแข็งแกร่งและเป็นผู้นำโดยธรรมชาติของเขา ”

พอร์เตอร์เล่าว่าลินคอล์นลูบขนลูกแมวและพูดกับพวกมันอย่างเงียบๆว่า “เจ้าแมวน้อยขอบคุณพระเจ้าที่แกเป็นแมวและไม่เข้าใจความขัดแย้งอันน่ากลัวที่กำลังเกิดขึ้น”

ในวันนั้นก่อนที่จะออกจากการประชุมในเต็นท์ของเจ้าหน้าที่ ลินคอล์นก็หันไปหาผู้พันและกล่าวว่า “ฉันหวังว่าคุณจะช่วยดูแลเจ้าลูกแมวกำพร้าแม่ที่น่าสงสารสามตัวนี้นะ ดูแลพวกมันดีๆ หานมให้มันกินเยอะๆด้วย”

การแสดงออกว่าเป็นคนรักสัตว์ของลินคอล์น ชัดเจนมาตั้งแต่เมื่อเขายังเด็กๆ ในตอนนั้นเขาได้ไปพบเด็กเกเรที่รังแกเต่าตัวหนึ่งด้วยการจับมันหงายท้อง แล้วก็ล้อมรอบหัวเราะสนุกสนานเมื่อเห็นเจ้าเต่าตัวนั้นตะเกียกตะกายทุรนทุรายพยายามจะพลิกคว่ำให้ได้แต่ก็ทำไม่ได้สักที

เรื่องนี้ทำให้เด็กชายลินคอล์นสะเทือนใจมาก จนนำไปเขียนเป็นเรียงความส่งครูในชั้นเรียน (และกลายเป็นเรียงความชิ้นเยี่ยมระดับตำนานของโรงเรียนเลย) แต่เรื่องนี้กลับทำให้น้องชายของลินคอล์นมองว่ามันกลายเป็นเรื่องที่ทำให้ลินคอล์นต้องถูกล้อเลียนรังแกในเวลาต่อมา

ลินคอล์นยังมีสัตว์เลี้ยงใกล้ชิดอีกตัวที่เป็นที่รู้จักนั่นคือ สุนัขพันทางขนสีน้ำตาลเหลือง หูตูบที่ชื่อฟิโด้

ตอนที่ลินคอล์นชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2403 มีการจุดดอกไม้ไฟและปืนใหญ่เพื่อเฉลิมฉลองวาระสำคัญนี้ เจ้าฟิโด้ที่น่าสงสารก็เกิดตกใจกลัวเสียงดังจากพลุและปืน จนทำให้ลินคอล์นเกิดความวิตกกังวลว่า การจะพามันโดยสารรถไฟอย่างยาวนานเพื่อเดินทางไปวอชิงตัน ดี.ซี.

ซึ่งแน่นอนว่าจะมีเสียงดังมากตลอดทาง น่าจะทำให้ฟิโด้หวาดกลัวจนทนไม่ได้ เขาจึงจำใจต้องหาคนช่วยเลี้ยงฟิโด้แทน


ในที่สุด ได้ จอห์น และแฟรงก์โรล เด็กชายสองคนที่อาศัยอยู่ในละแวกเดียวกัน ให้สัญญาว่าจะช่วยเลี้ยงและดูแลฟิโด้เป็นอย่างดี ลินคอล์นยังขอร้องให้พวกเขาสัญญาว่า จะช่วยเปิดประตูให้ฟิโด้ทุกครั้งที่มันเคาะประตู และอย่าต่อว่าทุบตีมันหากจะย่ำโคลนดินติดอุ้งเท้าเข้ามาบ้านได้บ้าง และหากมันมาที่โต๊ะอาหารเย็น ก็ช่วยให้อาหารมันด้วย

นอกจากนี้ ลินคอล์น ยังมอบโซฟาหนานุ่ม ที่เท้าแขนม้วนที่เคยใช้ ให้ไว้กับเด็กหนุ่มที่รับเลี้ยงฟิโด้ด้วย เพื่อที่จะได้ช่วยให้ฟิโด้รู้สึกอุ่นใจ สบายใจเหมือนอยู่บ้านเดิมมากขึ้น

ความรักสัตว์ของ อับราฮัม ลินคอล์น ยังปรากฏให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมและมีหลักฐานมาถึงปัจจุบันนี้นั่นคือรองเท้าสลิปเปอร์ที่เขาเลือกใส่เดินในเวลาพักผ่อนอยู่ที่บ้าน เป็นรองเท้าผ้าปักลายแพะหน้าตาน่ารัก ไซส์ 14 ซึ่งเป็นไซส์ที่ใหญ่ที่สุด ว่ากันว่ารองเท้าคู่นี้ เขาใส่มันอยู่จนถึงวันที่เสียชีวิตเลยทีเดียว


ตลอดช่วงชีวิตของเขา ผู้คนรอบข้างจะได้พบความเมตตาของลินคอล์นเสมอ ทั้งการช่วยหมูที่ติดอยู่ในปลักโคลน การช่วยแพะ และสัตว์อื่นๆอีก มีครั้งหนึ่งระหว่างการเดินทาง ผู้ร่วมเดินทางคันหน้า ทิ้งช่วงออกไประยะหนึ่ง แต่ต้องจอดเพราะพายุเริ่มพัดแรง พวกเขารอพักใหญ่ไม่เห็นรถของลินคอล์นตามมา มาแต่รถอีกคัน

พอถามกันก็ได้ความว่า เมื่อสักครู่ยังเห็นลินคอล์นถือลูกนกตกจากรังสองตัวไว้ในมือ เดินตามหารังนกเพื่อจะเอามันไปคืนให้แม่ (ท่ามกลางพายุ!) เมื่อลินคอล์นตามขบวนรถมาถึง เขาก็ถูกหัวเราะเยาะ แต่ก็ยังยืนยันว่าเขาต้องทำให้ได้ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางข่มตาหลับได้แน่นอน

ความเมตตาปราณีต่อเพื่อนร่วมโลก และไม่สามารถทนเห็นผู้อื่นตกอยู่ในความทุกข์โดยไม่ช่วยเหลือ น่าจะเป็นนิสัยติดกายมาแต่กำเนิดของ ลินคอล์น เป็นที่เล่าขานกันต่อมาอีกยาวนาน และเชื่อว่านั่นเป็นที่มาของนโยบายหลายๆอย่างที่อยู่บนพื้นฐานของมนุษยธรรม เช่น การเลิกทาสที่เขาผลักดันจนสำเร็จลุล่วง

www.neatorama.com
drloihjournal.blogspot.com


ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน