ภาวะแพ้อาหารในผู้ใหญ่ เป็นปัญหาที่พบได้บ่อย

โรงพยาบาลสุขุมวิทอธิบายถึงภาวะแพ้แบบเฉียบพลันว่า เกิดจากร่างกายสร้างสาร ภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนในอาหารบางชนิดภาวะเฉียบพลันจะเกิดหลังจากการรับประทานอาหารที่เป็นสาเหตุของการแพ้ไปไม่กี่นาที หรือเกิดภายใน 2 ชั่วโมง อาการแสดงของร่างกายจะพบมากกว่า 1 ระบบขึ้นไป จาก 4 ระบบดังต่อไปนี้

1.อาการทางผิวหนัง : ผื่นคัน ผื่นลมพิษหรือผิวแดงทั้งตัว ปากบวม ตาบวม หน้าบวม

2.อาการทางระบบทางเดินหายใจ : คัดจมูกน้ำมูกไหล เสียงแหบ ไอมาก แน่นหน้าอก หายใจเสียงวี้ด หรือหายใจไม่ออก

3.อาการทางระบบไหลเวียนโลหิตและหัวใจ : ใจสั่น หน้ามืด วิงเวียนศีรษะ เจ็บแน่นหน้าอก ความดันโลหิตตก อาจรุนแรงถึงขั้นหัวใจหยุดเต้นและเสียชีวิตได้

4.อาการทางระบบทางเดินอาหาร : คลื่นไส้ อาเจียน ปวดมวนท้อง ถ่ายเหลว
อาหารที่เป็นสาเหตุที่พบได้ เช่น อาหารทะเล โดยเฉพาะ กุ้ง หอย ปลาหมึก ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแป้ง สาลี ถั่ว ไข่ ผลไม้ บางประเภทเช่น กล้วย แอปเปิ้ล อะโวคาโด กีวี ขนุน เป็นต้น

หลักการของการแพ้เฉียบพลันคือ ร่างกายจะต้องเคยได้รับการกระตุ้นหรือเรียนรู้จากการรับประทาน อาหารประเภทนั้น หรือได้รับสารที่มีโปรตีนโครงสร้างคล้ายๆ กัน (sensitization) เมื่อไหร่ก็ตามที่ร่างกายสร้างสารภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า IgE (อิมมูโนโกลบูลิน ชนิดอี)

ที่มีความจำเพาะเจาะจงต่อโปรตีนในอาหารชนิดนั้นก็จะเหนี่ยวนำให้เกิดปฏิกิริยาการแพ้เฉียบพลัน จากการปล่อยสารฮีสตามีน (histamine) จากเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งในร่างกาย

ความสำคัญก็คือสารภูมิคุ้มกันนี้หลังจากผลิตมาแล้ว มีแนวโน้มว่าจะมีตลอดไป ซึ่งหมายความว่าถ้าเราได้รับประทานอาหารชนิดเดิมที่เป็นสาเหตุของการแพ้ก็จะมีอาการลักษณะเดิมอีก และไม่สามารถทานอาหารชนิดนั้นได้เป็นปกติอีก

นอกจากนั้นยังสามารถแพ้อาหารแบบอื่นๆ ที่พบได้ในบางคน เช่น ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแป้งสาลี อาหารทะเล ซึ่งทานได้ปกติ แต่เมื่อมีปัจจัยกระตุ้น เช่น การออกกำลังกาย รับประทานร่วมกับยาแก้ปวดกลุ่ม NSAID หรือ รับประทานอาหารร่วมกับเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์จะกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้เกิดขึ้น ซึ่งเกิดจากปัจจัยเหล่านี้กระตุ้นการดูดซึมสารที่ทำให้แพ้มากขึ้น

หากมีประวัติที่สงสัยว่ามีอาการแพ้แบบเฉียบพลันหลังจากทานอาหารที่สงสัยว่าแพ้ และมีอาการแสดงมาก กว่า 1 ระบบ หรือมีอาการแค่ระบบเดียวแต่มีความรุนแรงมาก โดยเฉพาะอาการทางระบบหายใจหรืออาการทางระบบไหลเวียนโลหิตและหัวใจ ควรพบแพทย์เพื่อได้รับการวินิจฉัยหลังจากที่ได้รับการรักษาแล้ว เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงอาหารชนิดนั้น และป้องกันการแพ้อาหารซ้ำ

แพทย์จะซักประวัติเรื่องอาหารที่ทาน ระยะเวลาของอาการแสดงหลังจากรับประทาน ยาที่ใช้ประจำ สิ่งแวดล้อมรอบข้าง ปัจจัยกระตุ้นการแพ้ โดยการวินิจฉัยจะใช้ประวัติร่วมกับการทดสอบทางผิวหนัง (skin test) หรือการเจาะเลือดเพื่อตรวจสารภูมิคุ้มกัน (specific IgE) หรือใช้ทั้ง 2 วิธีร่วมกัน

เพื่อประเมินความน่าจะเป็นของอาหารที่สงสัยว่าจะเป็นสาเหตุของการแพ้ ในกรณีที่ผลทดสอบให้ผลเป็นลบจะทดสอบโดยการลองรับประทานอาหารที่สงสัย (food challenge test) โดยที่จะต้องทำภายใต้การควบคุมของแพทย์เท่านั้น

หากเกิดอาการแพ้ ให้ตั้งสติและรีบขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้างหรือโทร.เรียกรถพยาบาลทันที ก่อนที่อาการจะรุนแรงมากขึ้น จัดท่าทางที่เหมาะสม ถ้าท่านหรือคนที่เกิดอาการรู้สึกเวียนศีรษะหน้ามืดให้นั่งหรือนอนในท่าที่รู้สึกสบาย และสามารถหายใจได้สะดวก

ในกรณีฉุกเฉิน ถ้าบริเวณนั้นมียาแก้แพ้สามารถทานก่อนได้ระหว่างที่รอรับความช่วยเหลือ แต่ไม่ได้หมายความว่ายาแก้แพ้จะเป็นยาหลักในการรักษา เพราะยาที่ใช้รักษาอาการแพ้เฉียบพลันคือ อะดรีนาลิน (Adrenaline)

ซึ่งจะมีในสถานพยาบาล หรือในกรณีที่ผู้ป่วยเคยได้รับการวินิจฉัยว่าแพ้อาหารและได้รับยานี้พกติดตัว ให้ใช้ยานี้ฉีดบริเวณกล้ามเนื้อต้นขาก่อนที่จะมาพบแพทย์ที่โรงพยาบาล โดยไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดเพื่อให้ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที โดยแพทย์อาจจะให้ท่านอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อสังเกตอาการต่ออย่างน้อย 1 วัน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน