ประเดิมปีมังกร “ข่าวสด ยานยนต์” นำเสนอบททดสอบ ฮอนด้า CR-V ที่เพิ่งได้รางวัล คาร์ ออฟ เดอะ เยียร์ ประเทศไทยกันไปหมาดๆ เมื่อปลายปีที่แล้ว
ด้วยเหตุผลที่ว่า หนึ่ง รถคันนี้มีดีอะไรถึงได้รางวัลนี้ไปครอง และสอง เมื่อวันที่ไปทริปทดสอบ ได้ขับแต่รุ่น 1.5 เทอร์โบ ยังไม่ได้ทดสอบตัวไฮบริด e:HEV งานนี้เลยจัดการให้เสร็จสรรพ
นัดรับรถที่คลังเก็บรถทดสอบ ย่านมีนบุรี ทีมงานประชาสัมพันธ์ เตรียมฮอนด้า CR-V e:HEV ES หรือตัวรองท็อป แบบ 5 ที่นั่งไว้ให้ ช่วงเย็นวันธรรมดา รถราหนาตาอยู่พอประมาณ ด้วยความสูงของตัวรถ ช่วยให้มองเห็นด้านหน้าได้ไกล ประเมินสถานการณ์ว่าควรไปเลนไหนดีกว่ากัน
เช้าวันรุ่ง ก่อนเดินทางไกลไปจ.ชุมพร สำรวจตรวจตรารอบคันกันเสียเลย ดีไซน์ภายนอกเน้นอารมณ์สปอร์ต กระจังหน้าสีดำเปียโนแบล็ก กันชนหน้า-หลัง ชายกันกระแทกด้านข้างสีดำ
สปอยเลอร์หลัง สีเดียวกับตัวรถ และสีดำ เสาอากาศครีบฉลามสีเดียวกับตัวรถ ปลายท่อไอเสียสแตนเลสคู่ ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว
ภายในเน้นโทนสีดำ เรียบหรูขึ้นด้วยอุปกรณ์ตกแต่งลายไม้สีเข้ม และสีดำเปียโนแบล็ก เบาะนั่งหนังแท้ และหนังสังเคราะห์
พวงมาลัย 3 ก้าน มัลติฟังก์ชัน คอนโซลหน้า ดีไซน์แนวช่องแอร์สไตล์เรโทร ควบคุมช่องแอร์แบบจอยสติ๊ก ดูเก๋ไปอีกแบบ หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 10.2 นิ้ว มองง่ายสบายตา หน้าจอกลางระบบสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับแอปเปิ้ล คาร์เพลย์ และแอนดรอยด์ ออโต้
เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมระบบจดจำตำแหน่งที่นั่ง 2 ตำแหน่ง เมื่อกลับขึ้นมาขับใหม่ กดปุ่มเดียว เบาะนั่งจะกลับมายังตำแหน่งที่กำหนดไว้ ไม่ต้องปรับให้ใหม่ให้วุ่นวาย เหมาะสำหรับบ้านไหนที่ไม่ได้ขับคนเดียว เบาะนั่งแถวหลังปรับพับ 60:40 เพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้ตามต้องการ
พร้อมเดินทาง ผู้โดยสารอีก 3 คน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ประตูรถหนักแน่นมาก หากไม่เห็นโลโก้ตัว H คงคิดว่าเป็นรถยุโรป
กดปุ่มสตาร์ต เสียงเงียบมาก เพราะใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้า ดีว่ามีไฟโชว์ทำให้รู้ว่ารถพร้อมใช้งานแล้ว จังหวะออกตัวไม่ถึงกับจี๊ดจ๊าดหลังติดเบาะ แต่ก็ใช่ว่าอืดเป็นเรือเกลือ ตามแบบฉบับรถครอบครัว สไตล์ SUV
เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ให้กำลัง 148 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ที่ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า เรียกมาใช้งานได้อย่างรวดเร็ว
วิ่ง ถ.กาญจนาภิเษก จำนวนรถมากขับตามกันไป จนขึ้น ถ.พระราม 2 เจอพิษปิดถนนเส้นหลัก ให้วิ่งได้แต่คู่ขนาน แถมบางช่วงเหลือเลนเดียว แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะเท่าที่สังเกตดูแล้ว ยามที่เจอรถติด หรือทำความเร็วไม่ได้มาก กำลังมาจากมอเตอร์เป็นหลัก แน่นอนว่าช่วยเรื่องความประหยัดได้อย่างมาก
กว่าจะทำความเร็วได้ผ่านจ.สมุทรสาคร ไปแล้ว ค่อยๆ เติมน้ำหนักเท้าที่แป้นคันเร่ง เข็มไมล์ไต่ขึ้นไปที่ 140-150-160 ก.ม.ต่อช.ม. และยังไปต่อได้อีก เพียงแต่วันนี้มีผู้โดยสารเบาะหลัง เลยพอแค่นี้ดีกว่า
จังหวะทำความเร็วสูง หรือลงทางลาดชัน หากต้องการลดความเร็วให้ทันใจมากขึ้น มีระบบช่วยชะลอความเร็วที่หลังแป้นพวงมาลัย ตำแหน่งเดียวกับแพดเดิลชิพ ช่วยให้ไม่ต้องเหยียบเบรกบ่อยเกินไป
สิ่งที่โดดเด่นเห็นได้ชัดเจน คือเรื่องของความเงียบในห้องโดยสาร ตั้งแต่กดปุ่มสตาร์ต ไปจนถึงทำความเร็วปลาย กว่าจะได้ยินเสียงลมเข้ามาในห้องโดยสาร ร่วม 140 ก.ม.ต่อช.ม. ขณะที่เสียงเครื่องยนต์ที่ติดขึ้นมา ไม่ว่าจะปั่นไฟ หรือเติมกำลัง ไม่ได้ดังมากจนรู้สึกเครียดแต่ประการใด
ช่วงล่างหนึบแน่น เพิ่มความมั่นใจ ยามทำความเร็วสูง รวมถึงเข้าโค้งที่ความเร็วมากกว่าปกติ กระชับฉับไว เข้าไวออกเร็ว ส่วนความนุ่มนวลมีมาให้ในแบบฉบับรถ SUV ไม่ถึงกับนุ่มนวลชวนฝัน แต่ก็ไม่ได้มีความกระด้างให้ได้รู้สึก
ระบบความปลอดภัย Honda SENSING มีมาให้ครบในทุกรุ่นย่อย เพื่อความปลอดภัยเต็มพิกัด
เสียงเตือน พร้อมไฟสัญญาณแจ้งว่าน้ำมันใกล้หมดถังแสดงขึ้นมา เหลือบดูตัวเลขที่ทำไว้ได้ 729.3 ก.ม. อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 16.7 ก.ม.ต่อลิตร กับสถานะการใช้งานจริง เจอรถติดจริง ทำความเร็วจริง ถือว่าประหยัดได้ใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ค่าตัวของเจ้าฮอนด้า CR-V e:HEV ES อยู่ที่ 1.589 ล้านบาท แต่ถ้าจะข้ามไปรุ่น RS ตัวท็อป ค่าตัวอยู่ที่ 1.729 ล้านบาท
แวะไปเปรียบเทียบกันดู ว่ารุ่นไหนเหมาะกับตัวเองมากกว่ากัน ได้ที่โชว์รูม ฮอนด้า ทั่วประเทศ
กิตติพงศ์ ศรีเจริญ