“มยุรี นวมมี”

ออกไปท่องโลกกว้าง แต่ไม่อยากไปไกล เลยตัดสินใจแบกเป้ตะลุยเกาะสิงคโปร์ 4 วัน 3 คืน กอดตั๋วโปรขึ้นโลว์คอสต์นั่งนานประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึงสนามบินชางงี

ผ่านตรวจคนเข้าเมืองเสร็จก็งัดบัตรตั๋วร่วม EZ-link (อีซี ลิงก์) ของสิงคโปร์ที่เพื่อนจากเมืองไทยให้มาไปเติมเงิน 250 บาท ใช้เป็นบัตรใบเดียวขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้าแสนสะดวก

ทริปนี้โหนรถเมล์เที่ยวเน้นถูกและดีเข้าถึงทุกมุมเมือง และยังได้สัมผัสวิถีชีวิตคนที่นี่แบบใกล้ชิดอีกด้วย

ใครๆ ก็รู้ว่าสิงคโปร์เป็นเมืองเกาะเล็กๆ มีพื้นที่ราว 719 ตารางกิโลเมตร ใหญ่กว่าภูเก็ตนิดเดียว แต่รายได้ต่อหัวสูงสุดเป็นอันดับ 3 ของโลกสมฐานะประเทศพัฒนาแล้ว มีคนอาศัยอยู่ราว 5.5 ล้านคน หลากหลายทางเชื้อชาติ ทั้งจีน อินเดีย มลายู จนเกิดย่านสำคัญขึ้นมากมาย เช่น ไชน่า ทาวน์, ลิตเติ้ล อินเดีย และ อาหรับ สตรีต เป็นต้น

ออกสตาร์ตวันแรกแรงขายังดี เลยเดินเท้าเที่ยวป่ากลางเมืองพิชิตยอดเขา Mount Faber ระยะทางรวม 1.6 ก.ม. ประมาณ 40 นาทีก็ขึ้นมาถึงจุดชมวิว มองเห็นทะเลล้อมเมืองแบบพาโนรามาสวยงามจับตา

พักหายเหนื่อยก็เดินต่อไป ที่สะพานเฮนเดอร์สันเวฟ Henderson Waves สะพานคนเดินที่สูงที่สุด 36 เมตรจากระดับดิน จุดนี้สัมผัสได้ถึงความงดงามของสะพานไม้ที่โค้งบิดงอเป็นรูปทรงการขึ้น-ลงของเกลียวคลื่นขนาดใหญ่ที่ทอดยาว 274 เมตร แทรกตัวอยู่กลางป่าบนภูเขาได้อย่างกลมกลืน

บนสะพานมีที่ให้นักท่องเที่ยวได้นั่งชิลชิล ปล่อยอารมณ์ชมพระอาทิตย์ตกดิน บรรยากาศสุดแสน จะโรแมนติกสุดๆ เห็นได้จากคู่รักที่กำลังโพสท่ากะหนุงกะหนิงถ่ายพรีเวดดิ้งกันอยู่กลางสะพาน

แหล่งพักผ่อนคนเมืองบนเกาะที่มีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่อีกแห่งที่ไปสัมผัสมาคือ Marina Barrage เขื่อนกั้นน้ำที่ออกแบบให้ด้านบนสุดเป็นสวนลอยฟ้ามีสนามหญ้าขนาดใหญ่ ให้คนเมืองได้มาทำกิจกรรมและพักผ่อน

ถ้าเบื่อก็ออกไปเดินหามุมแปลกตาถ่ายภาพคู่กับไอคอนฮิตของเมืองได้ ทั้ง ตึกมารีน่าเบย์แซนด์ และชิงช้าสิงคโปร์ ฟลายเออร์ (Singapore Flyer) ที่มองเห็นอยู่ในระดับเดียวกับสายตา

ชมธรรมชาติแล้วขอปรับโหมดมาโหนรถเมล์ตระเวนเที่ยวแหล่งฮิปๆ ของวัยรุ่นสิงคโปร์บ้าง ที่ห้ามพลาดคือ ตรอกฮาจิเลน (Haji lane) แหล่งพบปะสังสรรค์นั่งดื่มกินของฮิปสเตอร์

ไฮไลต์เด็ดอยู่ที่ภาพกราฟฟิตี้สีสันสดใส อาร์ตๆ ที่เพนต์ไว้บนตัวตึกเก่าสไตล์ชิโนโปรตุกีส ที่ทอดยาวสุดซอยถนน ขนาดนักร้องดังของไทยอย่างแสตมป์ ยังมาถ่ายทำมิวสิค เพลง The Last Single ที่ตรอกนี้กันเลยทีเดียว

อีกย่านฉูดฉาดไม่แพ้กัน คือ ลิตเติ้ลอินเดีย (Little India) ที่มีการนำจุดเด่นวัฒนธรรมสีสันของชนชาติมาพรีเซ็นต์ผ่านสีของอาคารบ้านเรือนเก่าสไตล์โคโรเนียล และที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของย่านนี้ไปแล้วคือ บ้าน Tan Teng Niah สีสันสวยงามเตะตานักท่องเที่ยว จนต้องหยิบกล้องมาถ่ายภาพเป็นที่ระลึก

เดินนานเริ่มหิว เลยแวะเข้าไปฝากท้องที่ศูนย์อาหารอินเดีย สั่งเมนูบริยานีเนื้อ หรือข้าวหมกเนื้อ และชาชักเครื่องดื่มขึ้นชื่อ อร่อยฟินเข้ากับบรรยา กาศเป็นที่สุด และยังได้แวะไปเที่ยวชมแสงไฟวิบวับจากตะเกียงประทีปนับพันดวงที่ถูกนำมาประดับประดาไว้ตามถนนหนทางในงานเทศกาลดีปาวลี (Deepavali) ซึ่งชาวฮินดูจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะของแสงสว่างเหนือความมืดมิด

วันถัดมาตื่นแต่เช้าซิ่งรถเมล์ไปลงที่ย่านไชน่าทาวน์เพื่อไปชิมข้าวมันไก่ มิชลิน 1 ดาว ที่ร้าน Liao Fan Hong Kong Soya Sauce Chicken Rice & Noodle ตั้งอยู่ในตึกไชน่าทาวน์ คอมเพล็กซ์

ยืนรอคิวนานเกือบ 1 ชั่วโมงกว่าจะได้ลิ้มรสชาติ แต่พอตักเข้าปากก็รู้ว่าคุ้มค่าการรอคอย เพราะเป็นข้าวมันไก่ที่อร่อย และถูกที่สุดในโลก จานละประมาณ 50 บาท

จากนั้นไปล้างปากด้วยขนมหวานที่ Mei Heong Yuen ร้านน้ำแข็งใสเก่าแก่ชื่อดัง สั่งเมนู Snow Ice Chendol น้ำแข็งใสราดหน้าลอดช่องสิงคโปร์ ราดด้วยไซรัป รสชาติหอมหวานชื่นใจอร่อยฟินจริงๆ

ท้องอิ่มขาพร้อมเดิน มาแถวๆ วัดเทียนฮกเขง (Thian Hock Keng Temple) วัดจีนเก่าแก่ชื่อดัง บังเอิญสังเกตเห็นตึกหลังหนึ่ง ติดป้ายเป็นแกลเลอรี่กระเบื้อง เปอรานากันโบราณ เลยตัดสินใจแวะ เข้าไปดู

ต้องบอกว่าไม่ผิดหวังจริงๆ เพราะประทับใจกับเรื่องราวและความสวยงามของกระเบื้องโบราณของชาวเปอรานากัน (Peranakan) หรือบาบ๋า-ย่าหยา กลุ่มชนชาวจีนเชื้อสายมลายู อายุมากกว่า 100 ปี หลายร้อยแผ่นที่อยู่ในสภาพใหม่เอี่ยม สีสันลวดลายงดงาม ทั้งลายผลไม้ ดอกไม้ ปลา นก และสิ่งมีชีวิตอันเป็นมงคลอื่นๆ ที่จัดแสดงอยู่ภายใน

ภรรยาเจ้าของแกลเลอรี่ซึ่งเป็นคนไทยเล่าให้ฟังว่า สามีหลงใหลเสน่ห์กระเบื้องเปอรานากันมานาน จึงเริ่มเก็บสะสมด้วยการไปคอยเฝ้าตามดูว่าเจ้าของตึก หรือบ้านโบราณหลังไหนในสิงคโปร์กำลังจะรื้อ หรือทุบตึกเก่าทิ้งเพื่อสร้างตึกสมัยใหม่

จะไปรอขอซื้อแผ่นกระเบื้องโบราณที่ประดับไว้ตามผนังตึกมาขัดล้าง และซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ เพื่อชุบชีวิตให้กระเบื้องโบราณกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ปัจจุบันมีมากเกือบ 1,000 ชิ้น

นอกจากจะโชว์แล้วยังเปิดขายและผลิตกระเบื้องจำลองออกขายให้กับนักสะสมด้วย สนนราคากระเบื้องเปอรานากันโบราณก็แพงหูฉี่ เฉลี่ยแผ่นละ 600-8,600 บาท

ส่วนกระเบื้องจำลองราคา 100-300 บาท ไม่ว่าจะแพงแค่ไหนแต่เศรษฐีภูเก็ตจากเมืองไทยก็ข้ามน้ำข้ามทะเลมาซื้อไปแต่งบ้านกันก็ไม่น้อย

ทางแกลเลอรี่บอกว่าภายในอีก 5 ปีคาดว่ากระเบื้องในร้านจะถูกขายจนหมด เพราะล่าสุดรัฐบาลสิงคโปร์ได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้กระเบื้องเปอรานากันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศ ห้ามไม่ให้ประชาชนเจ้าของบ้าน และตึกเก่าทุบทำลาย หรือแกะกระเบื้องโบราณออกจากตัวตึกเด็ดขาด หากฝ่าฝืนจะต้องถูกโทษปรับทันที

ซึมซับเรื่องเล่าชาวกระเบื้องเสร็จเลยรีบออกไปสัมผัสของจริง นั่งรถเมล์ไปตระเวนหาดูกระเบื้อง เปอรานากันโบราณตามตึกเก่าแถวย่านลิตเติ้ลอินเดีย พบว่ายังมีหลงเหลืออยู่หลายตึก มีลวดลายสวยงามจริงๆ

ถือเป็นประสบการณ์ตรงครั้งแรกกับการทัวร์ตามรอยวัฒนธรรมบาบ๋า-ย่าหยา แปลกใหม่และน่าประทับใจสุดๆ จนต้องซื้อแม็กเน็ตกระเบื้องเปอรานากันจำลองมาเก็บสะสมเป็นที่ระลึก

ก่อนกลับเราปักหมุดสุดท้ายที่ Fort Canning สวนสาธารณะที่ตั้งอยู่บนเนินเขาใจกลางเมืองสิงคโปร์ นอกจากจะเป็นสวนป่าครึ้มเขียวสดแล้ว ยังมีไฮไลต์เป็นบันไดวนที่ทอดยาวคดเคี้ยวจากใต้ดินค่อยๆ โค้งวนขึ้นไปยังสวนสาธารณะด้านบน

เมื่อลองแหงนมองขึ้นไปด้านบนจะเห็นเป็นปล่องกลมๆ คล้ายอุโมงค์ต้นไม้สวยงาม ที่ปากปล่องทรงกลมด้านบนมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นปกคลุมหนาสีเขียวสดงดงาม และยังมีไม้เลื้อยสีเขียวเข้มขึ้นปกคลุมอยู่รอบๆ บริเวณปากปล่อง สวยงามแปลกตา จนชาวคณะเราต้องควักมือถือมาถ่ายรูปรัวๆ

ระหว่างนั่งรถไปสนามบินเพื่อขึ้นเครื่องบินกลับไทย แอบเห็นวิธีการตากผ้าของชาวคอนโดฯ ประเทศพัฒนาแล้วถึงกับอึ้ง เพราะเล่นเอาท่อพีวีซีมาเสียบโด่เด่ พุ่งยาวออกมานอกตัวตึก ทำเป็นราวตากผ้าหลากสีห้อยพะรุงพะรังยังกะโรงลิเกเลยทีเดียว

นับเป็นทริปที่สนุกและได้ความรู้กันมากโข ทีเดียว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน