ดูแล “ตับ” หนึ่งในอวัยวะสำคัญของร่างกาย ด้วยวิธีสำคัญง่ายๆ 3 วิธีเป็นประจำ ทำได้เองที่บ้าน ไม่ต้องพึ่งอาหารเสริมหรือสารเคมี

ตับ เป็นหนึ่งในอวัยสำคัญของร่างกาย มีขนาดใหญ่ที่สุดในช่องท้อง หน้าที่หลักๆ ของตับจะเกี่ยวกับการควบคุมสารอาหาร สังเคราะห์โปรตีน และผลิตสารชีวเคมีที่จำเป็นในกระบวนการย่อยอาหาร ทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ

การดูแลสุขภาพตับ จึงเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการป้องกันโรคร้ายแรงหลายชนิด แม้ตับจะทำงานเงียบๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว แต่หากละเลยอาจนำไปสู่ภาวะตับวาย ซึ่งเป็นภาวะที่คุกคามชีวิตได้ ข้อมูลจาก Healthline พบว่า การดีท็อกซ์ด้วยวิธีธรรมชาติก็สามารถช่วยส่งเสริมการทำงานของตับและระบบย่อยอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีวิธีง่ายๆ 3 วิธีด้วยกัน

1.ดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวในตอนเช้า

การดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวตอนตื่นนอนนอกจากช่วยเติมน้ำให้ร่างกาย ยังช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำดีในตับ ซึ่งจำเป็นสำหรับการย่อยไขมันและขับของเสียออกจากร่างกาย

งานวิจัยปี 2023 ในวารสาร Nutrition & Metabolism (แคนาดา) พบว่า สารฟลาโวนอยด์ในเปลือกและน้ำมะนาว โดยเฉพาะ “eriocitrin” มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยลดค่าเอนไซม์ตับ (ALT และ AST) ในผู้ที่มีภาวะไขมันพอกตับระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง

2. กินผักใบเขียวที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง

ผักใบเขียว เช่น บรอกโคลี คะน้า ผักโขม มีสาร “กลูโคซิโนเลต” (glucosinolates) ซึ่งช่วยกระตุ้นเอนไซม์ล้างพิษในตับ เช่น glutathione S-transferase

ตามรายงานจาก สถาบันวิจัยมะเร็งแห่งชาติสหรัฐฯ (AICR) พบว่า ผู้ที่กินผักตระกูลกะหล่ำอย่างน้อย 5 ส่วนต่อสัปดาห์ จะมีการทำงานของตับดีขึ้นอย่างชัดเจนภายใน 8 สัปดาห์ โดยเฉพาะในด้านการขจัดสารเคมีจากยาและอาหาร

ผักเหล่านี้ยังอุดมด้วยโฟเลต วิตามิน C และ E ซึ่งมีบทบาทในการปกป้องเซลล์ตับจากความเสียหายจากอนุมูลอิสระ

3. เพิ่มการเคลื่อนไหวร่างกายเบา ๆ ในตอนเช้า

การออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เดินเร็ว โยคะ หรือยืดกล้ามเนื้อ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดผ่านตับและระบบน้ำเหลือง ซึ่งช่วยขนส่งสารพิษจากเซลล์เข้าสู่ตับเพื่อกำจัด

จากคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) การเดินเร็วหรือเล่นโยคะเพียง 30 นาทีตอนเช้า ช่วยลดไขมันสะสมในตับ และเพิ่มความไวต่ออินซูลิน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคตับอักเสบและไขมันพอกตับ

ผู้ที่เคลื่อนไหวร่างกายในตอนเช้าเป็นประจำ มีวงจรการทำงานของเอนไซม์ล้างพิษในตับที่ดีกว่า และกำจัดสารพิษได้เร็วขึ้นถึง 18% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ค่อยขยับตัว

ที่มา: vtcnews

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน