เสียงจากหลังม่าน

หลอน
นทธี ศศิวิมล

คืนแรกที่นดาเข้ามานอนที่ห้องรอคลอดนี้ เธอคิดว่าจะต้องโดดเดี่ยวเสียแล้ว เพราะท้องนี้มีปัญหาทำให้อุ้มท้องตามปกติอยู่ที่บ้านไม่ได้ จำเป็นต้องมานอนดูอาการ เนื่องจากอาการครรภ์เป็นพิษ อาจจะทำให้เธอจำเป็นต้องคลอดก่อนกำหนดได้เสมอ

หลังจากนดามาตรวจครรภ์ตามนัดที่อายุครรภ์ 31 สัปดาห์ เมื่อเช้านี้หมอเริ่มพบความผิดปกติคือพบความดันเริ่มสูงขึ้นทั้งตัวบนและล่าง คือบน 153 ล่าง 95 เมื่อวัดซ้ำก็ยังไม่ลดลงเท่าที่ควร แพทย์จึงให้เก็บปัสสาวะเพื่อตรวจเพิ่ม ปรากฏว่าพบโปรตีนรั่วในปัสสาวะจำนวนมาก จึงวินิจฉัยว่า นดาเกิดอาการความดันโลหิตสูงระหว่างตั้งครรภ์หรือครรภ์เป็นพิษ ในระยะก่อนชัก ซึ่งเป็นระยะที่ยังไม่รุนแรงแต่อาจมีอาการในระยะรุนแรงกำเริบขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ และหากกำเริบอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตทั้งแม่และทารก หมอจึงขอให้เธออยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อเฝ้าดูอาการ

นดาโทร.บอกสามีให้มาเซ็นเอกสารและทำเรื่องแอดมิต จากนั้นต้องกลับก่อนสองทุ่ม ทางโรงพยาบาลไม่ให้ญาตินอนเฝ้าที่ห้องรวม และเนื่อง จากเป็นเรื่องฉุกละหุก จึงไม่ได้เตรียมตัวเรื่องข้าวของเครื่องใช้ติดตัวมาด้วย ต้องให้สามีรีบไปหามาก่อนหมดเวลาเยี่ยม

หลังความวุ่นวาย นดาก็ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดคนไข้ นอนพักเหยียดยาวอยู่บนเตียงตามหมอสั่ง ห้องที่พักเป็นห้องเตียงรวมสำหรับผู้ป่วยตั้งครรภ์ความเสี่ยงสูง มีเตียงทั้งหมดหกเตียงแต่คืนนั้นมีแค่สามเตียงที่มีคนไข้ ฝั่งเดียวกันเรียงกันทั้งหมด นดานอนเตียงกลาง เตียงด้านขวานอนปิดผ้าม่านทึบปิดไฟ ท่าทางจะหลับแล้ว แต่เตียงซ้ายยังนอนกระดิกเท้าดูคลิปยูทูบอยู่ หญิงสาวเตียงซ้ายนี้มีขนาดท้องใหญ่กว่านดา นดาคาดเดาว่าน่าจะท้องได้สักแปดเดือน ขณะแอบมองอยู่ เธอก็หันมามองแล้วยิ้มให้ พร้อมเอ่ยปากเปิดบทสนทนา “มารอคลอดเหมือนกันเหรอพี่ หนูเนี่ยน้ำคร่ำรั่ว นอนมาเก้าวันละยังไม่ได้คลอดเลย”

นดาฟังแล้วตกใจ “เฮ้ย น้ำคร่ำรั่วเรื่องใหญ่นะ วันสองวันก็น่าจะคลอดแล้ว เป็นไปได้ยังไงรอตั้งเก้าวัน”

หญิงสาวยิ้ม “ทีแรกหนูก็คิดแบบพี่แหละ แต่พอแอดมิตมันก็หยุดรั่วซะงั้น หมอเลยให้นอนรอดูอาการไปเรื่อยๆ พอดีลูกหนูน้ำหนักน้อย หมออยากให้โตกว่านี้อีกหน่อยจะได้ปลอดภัย”

นดาพยักหน้าเข้าใจ “อืมยาวเลย ของพี่ครรภ์เป็นพิษยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะคลอดเมื่อไหร่”

หลังบทสนทนานั้น หญิงสาวทั้งสองยังคุยกันอีกหลายคำ เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวในขณะที่อยู่โรงพยาบาล จนเกือบเที่ยงคืน หญิงสาวเตียงซ้ายจึงขอตัวนอนพักผ่อนต่อไปและดึงม่านปิด

นอกจากแปลกที่ ทั้งตั้งตัวไม่ทันและเป็นห่วงลูกในท้องเธอจึงนอนไม่หลับ หันหยิบโทรศัพท์เสิร์ชหาข้อมูลเกี่ยวกับอาการครรภ์เป็นพิษและการดูแลรักษาไปพลางๆ

ตอนนั้นเองที่เธอเริ่มได้ยินเสียงดังออกมาจากหลังม่านเตียงข้างขวา เป็นเสียงผู้หญิงพูดเสียงเบาๆ สลับกับเสียงฮัมเมโลดี้เห่กล่อมเด็ก น้ำเสียงนั้นฟังดูอบอุ่นอ่อนโยนจนแอบอมยิ้ม

“คนดีของแม่ แม่รักหนูมากนะลูกนะ คนสวยของแม่ รักแม่บ้างนะคะลูก ฮืมมมม เอ่เอ๊…”

นดานอนฟังเสียงนั้นเพลินจนหลับไป ตื่นมาตอนเช้าเพราะเจ้าหน้าที่มาวัดความดัน เธอชำเลืองไปทางซ้าย น้องคนเดิมกำลังเตรียมตัวไปเข้าห้องน้ำ เตียงขวายังคงปิดม่านเงียบ แต่นดาไม่มีเวลาสงสัย เพราะหมอสั่งให้พาตัวนดาไปอัลตราซาวด์

หญิงสาวผ่านกระบวนการทางการแพทย์จนค่ำจึงได้กลับมาที่เตียงอีกครั้ง เธอเหนื่อยได้แต่เพียงยิ้มตอบเตียงด้านซ้ายที่กลับมานอนกระดิกเท้าดูคลิปในโทรศัพท์อย่างอารมณ์ดี

เช่นเคยที่นดานอนฟังเสียงเห่กล่อมอันแสนอ่อนโยนนั้นอีกครั้ง ประโยคเช่นเดิมไม่ผิดเพี้ยน ขณะกำลังเคลิ้มหลับ นึกได้ว่าทำไมไม่มีเสียงทารกร้องเลยนะ ไม่เหมือนคุณแม่ๆ ที่เพิ่งคลอดกันด้านนอก อ้อลืมไป นี่มันห้องรอคลอด คุณแม่เตียงขวาน่าจะคุยกับลูกในท้องมากกว่า แล้วเธอก็ค่อยๆ เคลิ้มหลับไป

สะดุ้งตื่นราวตีสอง ได้ยินเตียงขวาพูดประโยคเดิมๆ อีก คราวนี้เริ่มรู้สึกแปลกๆ หันไปเห็นเตียงซ้ายยังไม่หลับ จึงถามว่าได้ยินเขาร้องเพลงไหม เตียงซ้ายขมวดคิ้วยุ่ง แล้วลุกขึ้นเดินมาที่เตียงขวา “เตียงนี้มีคนที่ไหนล่ะพี่ เขาปิดไว้ตั้งแต่หนูมาอยู่วันแรกแล้ว ปิดทำไมก็ไม่รู้” ว่าแล้วเธอก็เปิดม่านรูดเปิดออกจนหมดและทำเอานดาขนลุกซู่ เตียงนั้นว่างเปล่า ไม่มีแม้กระทั่งผ้าปูเตียงหรือหมอน มีแต่ที่นอนยางโล้นๆ แล้วเสียงที่เธอได้ยินมาจากไหน นดาเลือกที่จะไม่เล่าต่อให้เตียงซ้ายฟังเพราะเกรงว่าจะกลัว เธอนอนไม่หลับจนเช้ามืด กระทั่งร่างกายไม่ไหวจะเคลิ้มหลับจังหวะนั้นพยาบาลเดินเข้ามาวัดความดัน

“อ้าว ใครมาเปิดม่านนะ” เธอบ่นพลางรูดม่านเตียงขวาปิดไว้เหมือนเดิม

นดาหันไปเตียงซ้าย เห็นว่าว่างเปล่าจึงถามขึ้น “น้องเขาไปคลอดแล้วเหรอคะ”

แล้วเจ้าหน้าที่ก็ทำเอานดาขนลุกแทบเป็นลมอีกครั้ง เมื่อตอบกลับมาว่า

“เตียงไหนคะ ห้องนี้ตั้งแต่คุณแอดมิตมาก็ยังไม่มีใครเข้ามาใช้เตียงเลยค่ะ”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน