หนุน เทเลเมดิซีน จุดเปลี่ยนสาธารณสุขไทย เชื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน

วันที่ 30 ก.ย. กระทรวงสาธารณสุข คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) และสมาคมโทรคมนาคมเพื่อสิทธิเสรีภาพของผู้ด้อยโอกาส ร่วมจัดสัมมนา “เทเลเมดิซิน แอนด์ สมาร์เฮลท์ 2019” โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข และด้านดิจิทัลเข้าร่วมเวที

พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคภูมิใจไทย ฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล กล่าวบรรยาย เรื่อง 5G พลิกโฉมการให้บริการด้านสาธารณสุข ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตผู้ด้อยโอกาสที่ไม่สามารถเข้าถึงสถานพยาบาลได้ หรือสถานพยาบาล หรือบุคลากรทางการแพทย์อยู่ห่างไกล ขณะเดียวกันในวิกฤตดังกล่าวพบโอกาสคือการเข้ามาของเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งเชื่อว่าภายใน 5-10 ปี จะพบความพลิกผันของเทคโนโลยีที่สามารถช่วยเหลือ และส่งเสริมการให้บริการทางการแพทย์ได้

เพราะปัจจุบันสมาร์ทโฟนของประชาชนสามารถเก็บข้อมูลด้านสุขภาพไว้ได้อย่างละเอียด ทั้งผลเลือด ความดันโลหิต เป็นต้น และการพัฒนาของเทคโนโลยีที่มุ่งแก้ปัญหาในปัจจุบัน เชื่อว่าจะตอบสนองการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้ รวมถึงระบบสาธารณสุขจะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดได้ ดังนั้นสิ่งที่ประชาชนต้องทำตอนนี้ คือ ปรับตัวเข้ากับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงรวมถึงให้การยอมรับ

พ.อ.เศรษฐพงค์ ยังกล่าวในประเด็น เทเลเมดิซีน จุดเปลี่ยนสาธารณสุขไทย ด้วยว่า การเข้ามาของแพทย์ทางไกลผ่านระบบอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ขณะนี้ไม่มีปัญหาด้านการเงินที่ใช้ลงทุน แต่ด้วยความตระหนักถึงการรักษาประชาชนที่มีคุณภาพ ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่ากระทรวงสาธารณสุข ระบุว่าต้องให้ความสำคัญกับบุคลากรทางการแพทย์ ดังนั้นในฐานะที่ตนเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ มองว่ากฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องต้องปรับให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวด้วย เช่น การให้ความคุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์

“หมอเป็นหัวใจสำคัญของคนไข้ ซึ่งเราให้ความสำคัญ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขบอกให้ตระหนักในความสำคัญของบุคลากรมากกว่าเทคโนโลยี ซึ่งผมเชื่อว่าฝ่ายการเมืองและฝ่ายนิติบัญญัติจะให้ความสำคัญเดินไปด้วยกันให้ได้ รวมถึงต้องยอมรับในการเปลี่ยนแปลงเพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชนที่ดีขึ้น โดยนโยบายของรัฐบาลที่ต้องให้ความสำคัญ” พ.อ.เศรษฐพงค์ กล่าว

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่เพิ่มเพื่อน

ภายหลังการสัมมนา พ.อ.เศรษฐพงค์ ให้สัมภาษณ์ด้วยว่า นายอนุทิน เตรียมเปิดตัวโครงการเทเลเมดิซิน อย่างเป็นทางการในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ ภายในสิ้นปีนี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ สามารถเข้ามาส่งเสริมและยกระดับมาตรฐานการรักษาพยาบาลให้กับประชาชนได้ และประชาชนจะได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง

ทั้งนี้จากที่กระทรวงสาธารณสุขร่วมลงนามกับ กสทช. ผมเชื่อว่าด้านเทคโนโลยีที่สนับสนุนงานดังกล่าวจะทำได้เต็มประสิทธิภาพ ขณะที่บุคลากร ทราบว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เตรียมความพร้อมไว้แล้ว นอกจากนั้นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันคือ การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชนว่าการรักษาผ่านระบบอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง นั้นจะมีมาตรฐานการรักษาเท่ากับการรักษาผ่านมือหมอ

ในหลายประเทศมีการรักษาด้านการแพทย์ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง เช่น ประเทศญี่ปุ่น พบความสำเร็จอย่างมาก ซึ่งผมเชื่อว่าเมื่อประเทศไทยได้ดำเนินการเรื่องนี้แล้ว จะช่วยยกระดับการรักษาพยาบาลและแก้ปัญหาด้านระบบสาธารณสุขที่เคยมีมาในอดีตได้อย่างแน่นอนโดย มุ่งหวังเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสุขภาพของประชาชนคนไทยให้ดีขั้น” พ.อ.เศรษฐพงค์ กล่าว

ด้าน นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงการดำเนินโครงการการแพทย์ทางไกล ผ่านอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง หรือ เทเลเมดิซีน ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุข และ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) เพื่อพัฒนาศักภาพการให้บริการและการรักษาด้านการสาธารณสุขในพื้นที่ทั่วประเทศว่า

จากการดำเนินโครงการดังกล่าวในเฟสแรก เพื่อทดสอบระบบพบความสำเร็จที่เชื่อว่าการดำเนินการด้านสาธารณสุขดังกล่าวจะสามารถทำได้จริง และ เกิดผลสำเร็จ อย่างไรก็ตามการทดสอบระบบดังกล่าวยังพบปัญหาเล็กน้อย และเพื่อเป็นการแก้ปัญหา นายอนุทิน ลงนามแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นบุคลากรที่มีศักยภาพและมีความเชี่ยวชาญจากหลายมหาวิทยาลัย เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน 32 คน ร่วมเป็นคณะกรรมการสารสนเทศ ด้านสุขภาพ และชีวอนามัย เพื่อทำหน้าที่ติดตามและแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อให้การพัฒนาระบบและดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน