เพื่อนในลิฟต์

หลอน
นทธี ศศิวิมล

สมัยที่ผมเป็นหมอใช้ทุน จะถือว่าโชคดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ที่ได้ไปอยู่โรงพยาบาลศูนย์แห่งหนึ่งซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ใหญ่โต มีตึกมีอาคารหลายหลัง ปกติในแต่ละวันลิฟต์มักแน่นโดยเฉพาะช่วงเช้า

แต่พอบ่ายๆ กับบางตึกแล้วลิฟต์มักโล่ง ไม่ค่อยมีคนใช้ ผิดกับช่วงเช้าราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ

วันนั้นราวบ่ายสาม ผมต้องขึ้นตึกนั้นเพื่อธุระบางอย่างตามปกติ ผมออกจากห้องที่ชั้น 3 ก็ไปยืนหน้าลิฟต์เพื่อกดขึ้นชั้น 10 มีลุงคนหนึ่งในชุดคนไข้ของโรงพยาบาลมายืนรอลิฟต์ด้วย ก็ตามปกติอีกนั่นแหละของโรงพยาบาลรัฐที่คนไข้ที่อาการดีขึ้นมาก (ที่จริงบางคนก็แอบออกจากห้องพักมาเองโดยคิดไปเองว่าอาการดีขึ้น มักจะออกไปซื้อของรับประทานหรือออกมานั่งเล่นตามทางเดินหรือเก้าอี้ตามชั้นต่างๆ

ถ้าว่ากันตามเคร่ง ครัดนั้นผิดระเบียบ แต่ที่ผ่านมาก็อนุโลมกันจนเป็นเรื่องปกติ อาจจะยังไม่เกิดเรื่องหรือเหตุร้ายแรงจากการผิดระเบียบพื้นๆ เช่นนี้ก็เป็นได้ ผมจึงพบคุณลุงท่านนั้นยืนรอลิฟต์ด้วย ผมถามแกว่า

“จะไปไหนหรือลุง”

ลุงแกมองผม แล้วก็ตอบ “ไม่ได้ไปไหนหมอ ออกมาเดินเล่น มันเบื่อ”

“แค่เบื่อก็ออกมาเดินเล่นแล้วหรือ โรงพยาบาลมันมีอะไรน่าเดิน อยู่ในห้องน่าจะดีกว่านะลุง”

“แหมคุณหมอ ผมเบื่อจะตาย นี่ผมอยู่มานานมากแล้ว นานจนไม่รู้วันรู้คืน”

“ขนาดนั้นเชียว” ผมหัวเราะ

“ผมไม่ชอบโรงพยาบาลนี้เลยหมอ” ลุงแกส่ายหัวจนผมต้องมองหน้าแกตรงๆ

แกมีใบหน้าที่เฉยนิ่งมาก ผมสีดอกเลา อายุ น่าจะมากกว่าพ่อผมเสียด้วยซ้ำ แกพูดต่อเมื่อเห็นผมนิ่ง

“ผมไม่ชอบโรงพยาบาลนี้จริงๆ นะหมอ”

ผมมองแกอย่างยิ้มๆ อยากทราบแกคิดอะไร จึงเอ่ยขึ้น

“อ้าว ทำไมหรือลุง”

“สกปรกก็สกปรก ห้องน้ำนี่ แม่บ้านทำวันละหนมั้ง ในห้องพักก็มีหยากไย่ พัดลมบนเพดาน งี้ ฝุ่นจับหนา อาหารคนไข้สามสิบบาทงี้ยังกะอาหารในคุก”

ลุงแกบ่นแล้วถอนหายใจจนผมได้ยินเสียง แกพูดต่อ

“พวกกฎอะไรนี่มีไว้ คนไข้ไม่เคยทำตาม หมอพยาบาลก็ไม่ว่า ดูอย่างห้องไอซียูสิ ให้คนมาเยี่ยมต้องเปลี่ยนรองเท้า เปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างมือให้สะอาด คนไม่ทำก็ไม่ว่าเขา ให้เยี่ยมทีละสองคน เข้ามาเป็นสิบก็เฉย ผู้ช่วยพยาบาลบางชั้นก็เอาแต่ขายของ เอะอะอะไรก็ชวนให้ซื้อนั่นซื้อนี่ เดี๋ยวขนม เดี๋ยวข้าวกล่อง พอซื้อค่อยเป็นที่รักหน่อย”

ลุงแกหัวเราะเบาๆ

“พูดถึงเรื่องขาย ของบางอย่างผ้าเช็ดตัวเด็กแทนที่จะมีให้ นี่โรงพยาบาลนะ ก็ต้องซื้อ แถมเป็นของห่วยๆ อีก เช็ดทีสีตก อะไรอย่างนี้ เฮ้อ”

ลุงแกร่ายยาว

ผมคิดพลางนึกว่าก็ถูกของลุงแก แต่หมอเด็กๆ อย่างผมจะไปว่าอะไรใครได้ บางทีเรื่องที่ผิดคนเราก็ทำกันจนกลายเป็นเรื่องถูก ไม่ต้องพูดถึงทุจริต เบียดบังเวลาราชการ เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นเยอะแยะในสังคมเราทุกวันนี้

ผมไม่ได้ตอบแกในทันที แล้วลิฟต์ก็ขึ้นถึงชั้น 10 ผมต้องออกจากลิฟต์แล้ว จึงพูดขึ้น

“ไว้ค่อยคุยกันนะลุง”

“ครับ คุณหมอ”

ลุงแกยิ้มให้ผม เป็นยิ้มที่ผมรู้สึกแปลกๆ ชอบกล แต่จะเป็นอะไรและอย่างไรนั้นอธิบายไม่ถูก

ผมต้องรีบจนลืมเรื่องไป แม้จนกระทั่งเสร็จงานนั้นก็ลืมลุงและเรื่องที่แกบ่นไปแล้ว

แต่แล้วคืนถัดมาผมกลับเจอแกอีก แกทักผมก่อน ตอนแรกผมจำไม่ได้ มองหน้าแกอย่างพยายามจะนึกให้ได้

แต่แล้วเมื่อแกเอ่ยเรื่องบ่นในลิฟต์ผมก็จำได้ พอดีเป็นการขึ้นลิฟต์เพียงสองชั้น จึงไม่มีเวลาได้คุยกัน

วันหนึ่งที่ชั้น 3 ระหว่างรอลิฟต์พลเปลก็เข็นรถเข็นเปล่าที่เพิ่งส่งคนไข้ที่ชั้นนั้นมารอด้วย ผมมองแล้วไม่ว่ากระไร ผมจะขึ้นไปชั้น 10 ตามเคย

เมื่อลิฟต์เปิดออก พลเปลให้ผมเข้าไปก่อน ผมบอกเข้าไปได้เลย เดี๋ยวกดลิฟต์ให้ พลเปลไม่กล้าขัดจึงเข้าไปก่อน ผมก้าวตาม

ระหว่างนั้นเองที่เหลือบไปเห็นคนกำลังเดินมาที่ประตูลิฟต์ที่กำลังปิดพลางโบกมือให้รอด้วย

และเมื่อสังเกตก็เห็นเป็นลุงเจ้าประจำที่เจอกันมาแล้ว

ผมกำลังจะเอื้อมไปกดรอ พลเปลก็เอื้อมมากดปิดแทน

“อ้าว มีคนขอขึ้นด้วย” ผมเลิกคิ้วสงสัย

“คนเราต้องมีน้ำใจ”

ผมกำลังนึกโมโหบุคลากรของโรงพยาบาลตามที่ลุงแกบ่น พลเปลก็พูดขึ้น

“หมอครับ” พลเปลเอ่ยเสียงเครียด

“หมอไม่เห็นหรือว่าที่ข้อมือลุงเขามีป้ายของห้องดับจิตผูกอยู่”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน