สระใกล้บ้าน

หลอน
นทธี ศศิวิมล

ผมไม่ได้กลับไปบ้านเกิดนานมาก นานจนเมื่อกลับไปคนรุ่นดียวกันล้วนแล้วแต่มีครอบครัวไปเกือบหมด ผมเองมาทำงานในเมืองกรุง หาเงินส่งเสียน้องๆ เรียนหนังสือจนมานึกขึ้นได้ว่ายังไม่มีแฟนอายุก็ปาเข้าไปใกล้สี่สิบแล้ว เมื่อกลับบ้านหลังจากไม่ได้กลับมาเกือบยี่สิบปี จึงแทบไม่สนิทสนมกับใครเลย เพราะแต่ละคนก็มีครอบครัว มีหน้าที่การงาน แต่ผมว่าเพราะเราห่างกันไปนานมากกว่า

แต่กับเชตไม่ใช่เลย ผมพบเชตวันนั้นหลังจากกลับบ้านมาได้สามสี่วัน ไม่มีอะไรทำ บริษัทที่ผมทำงานอยู่เปิดโอกาสให้ลาออกโดยรับเงินเดือนตามอายุงาน ผมทำงานกว่ายี่สิบปี ผมได้สิบเดือนแถมโบนัสอีกสามเดือน ผมตั้งใจนำเงินทั้งหมดมาลงทุนเปิดร้านชำในกรุงเทพฯ ตั้งใจกลับบ้านเกิดเพียงเยี่ยมบ้านและพักผ่อนสบายๆ สักเดือน โดยไม่ได้บอกเรื่องได้เงินล่วงหน้าเท่าไหร่ (คุณก็รู้ การบอกก็เท่ากับผมเอาเงินทั้งหมดไปทิ้งที่บ้านแน่นอน เพราะจะมีคนมายืม พ่อแม่ ญาติพี่น้องก็จะอ้างเหตุสารพัดเพื่อดูดเงินจากกระเป๋าเราไป)

ตอนนั้นเชตนั่งเฉยๆ อยู่ริมสระน้ำ เป็นสระน้ำเก่าแก่ของหมู่บ้านที่เด็กทุกคนต้องเคยมาเล่นน้ำและทุกปีก็ต้องมีเด็กในหมู่บ้านจมน้ำเสียชีวิต ถึงกระนั้นก็ไม่วายกลัวกัน ตายแล้วก็ตายไป ก็ยังมีคนมาเล่นเพื่อเป็นคนตายคนต่อไปทุกปี

“แกรู้ไหมหน่อง” เชตพูดกับผม “เด็กไทยมีสถิติการตายสูงสุดอันดับหนึ่งก็จากการจมน้ำตายนี่แหละ ทั้งๆ ที่มันป้องกันได้ แต่ไม่มีใครคิดทำเป็นจริงเป็นจัง” ช่วงหนึ่งที่เชตพูด เมื่อเราพูดกันถึงเรื่องการจมน้ำเสียชีวิต “คือมันใช่การโยนห่วงยาง โยนเชือกหรือเอาคนว่ายน้ำแข็งมาช่วยใครก็ได้ กูว่าควรมีการฝึกอบรมคนในหมู่บ้านให้รู้จักวิธีการช่วย ได้งบฯ เอ็สเอ็มอีมาทีก็สร้างศาลาปล่อยร้างทิ้งไว้ให้ปลวกแดก สร้างอะไรที่ไร้สาระไม่เกิดประโยชน์ กูเคยเสนอให้มีการฝึกอบรมเรื่องพวกนี้ พอกูเสนอปั๊บก็บอกให้กูจัดการเองสิ แล้วไม่ช่วยกูสักนิดเดียว กูอยู่แต่หมู่บ้านมาทั้งชีวิต จะไปรู้จักใครที่ไหนมาก เรื่องก็เลยไม่คืบหน้าก็หันมาด่ากู จนกูท้อ ปล่อยแมร่งไปเหอะ ลูกใครจะตายห่าก็ช่างแมร่ง ไม่ใช่ลูกกูหลานกู สักคน” เชตค่อนข้างจะมีอารมณ์ในน้ำเสียงในเย็นวันนั้น

เชตเป็นเพื่อนตั้งแต่เด็ก เราชอบมาว่ายน้ำเล่นที่สระน้ำนี้กัน เพื่อนในวัยเด็กที่ตายไปก็หลายคน ดูเหมือนเชตจะฝังใจอยู่คนหนึ่ง คือจ๊อด เราสามคนสนิทกันมาก โดยเฉพาะจ๊อดกับเชตที่บ้านติดกัน เรียนโรงเรียนเดียวกันมาตลอดจึงเรียกว่าซี้ย่ำปึ้กเลยทีเดียว ผมเองห่างออกไปตอนไปเรียนต่อมัธยมในเมือง สองคนนั่นไม่เรียนต่อทำนาช่วยที่บ้าน เพียงแต่เชตชอบอ่านหนังสือ มันจึง “หัวรุนแรง” ในความเห็นของผู้ใหญ่บางคน

กลับบ้านหนนั้นผมก็รู้สึกว่าไม่เพียงรอบตัวและผู้คนเปลี่ยนไป ผมเองก็เปลี่ยนไป การอยู่ในเมืองนาน ทำให้ผมปรับตัวไม่ค่อยได้ แม้ชนบทสมัยนี้ต่างจากเมื่อก่อนเยอะ แต่ทำไมไม่รู้ที่ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่คนของบ้านเกิดอีกต่อไป

ผมพบเชตที่สระน้ำนี้อีกหลายครั้งโดยไม่มี ใครรู้ การกลับบ้านของผมก็เพียงบอกที่บ้านและญาติว่ามาเยี่ยม ผมไม่ได้นึกเอะใจเลยว่าทำไมทุกครั้งที่มาที่สระน้ำนี่ จะเจอเชตเสมอ และเขาก็ดูหนุ่มมาก แดดและงานการในไร่ในนาที่หนักไม่ได้ทำให้เขาดูแก่ขึ้นเลย เหมือนอายุยี่สิบต้นๆ อย่างไรก็อย่างนั้น เราคุยกันถูกคอ แต่หลายเรื่องก็เจอว่าเชตล้าสมัย ไม่ทันข่าวสารบ้านเมืองเอาเสียเลย ผมก็ใช้วิธีเลี่ยงไม่พูด ไม่อยากให้เพื่อนรู้สึกว่าต่างกัน เราจึงมักพูดแต่เรื่องในวัยเด็กเสียมากกว่า

วันที่ใกล้จะกลับกรุงเทพฯ ผมไปเจอเชตที่ สระน้ำบอกเชตว่าจะกลับแล้วนะ เชตยังพูดว่าเหมือนวันที่มึงบอกจะไปกรุงเทพฯ เลย กูไม่คิดว่ามึงจะไปนานขนาดนี้ แต่ก็ดีนะ ที่มึงไม่ลืมกูเหมือนคนอื่น

ผมแปลกใจในคำพูด แต่ก็ไม่ได้ซักถามต่อ

เช้าวันกลับบ้าน ผมพูดลาแม่แล้วก็เรื่องทั่วไปๆ ก่อนจะลงจากชานเรือน ผมพูดกับแม่ว่า “ผมกลับมาหนนี้ ดีนะ ยังได้เจอเพื่อนเก่าคนหนึ่งที่มันแทบไม่เปลี่ยนไปเหมือนคนอื่น”

“คนเรามันก็ต้องเติบโต เปลี่ยนไปตามเวลา” แม่ตอบ

“แต่เชตไม่เปลี่ยนเลยนะ โดยเฉพาะรูปร่างหน้าตา เหมือนคนหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ”

“อะไรนะ เอ็งว่าใครนะ”

“เชต ไอ้เชตไงแม่ เพื่อนซี้ผมตอนเด็กไง ตัวสูงๆ หลังค่อมๆ”

แม่ชะงักแล้วมองหน้าผม ก่อนจะตอบว่า “เชตมันจมน้ำตาย ตอนไปช่วยเด็ก ยี่สิบกว่าปีแล้วมั้ง มึงแน่ใจหรือว่าเจอเชต”

ผมตกใจไม่น้อย แต่แล้วก็น้ำตาซึม โถ ไอ้เชต นี่มึงยังวนเวียนแต่เรื่องเดิมหรือนี่

ผมกลับไปที่สระน้ำอีกครั้ง แต่ไม่เจอเชต ผมพนมมือไหว้ กล่าวเสียงดัง “ไปผุดไปเกิดเถอะเพื่อน โลกเรามีเรื่องอีกเยอะแยะที่คนตัวเล็กๆ อย่างเรา ทำยังไงก็ทำไม่ได้”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน