ในนามของชีวิต เราทุกคนต่างมีความหวังและความฝันอันสวยงาม
เช่นเดียวกับ ปู่คออี้ มีมิ ผู้เฒ่าวัย 106 ปี ที่แม้ร่างกายจะร่วงโรยไปตามกาลเวลา และทรงจำวันวานในชีวิตจะพร่าเรือน แต่ปรารถนาหนึ่งเดียวของแกยังคงแจ่มชัด
“ผู้เฒ่ายังต้องการหวนคืนสู่ถิ่นเกิด”
หลังศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ ส.58/2555 ที่ปู่คออี้ พร้อมพวกรวม 6 คน ฟ้องคดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เมื่อวันที่ 7 ก.ย.2559 กรณีเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานขึ้นไปเผาบ้านเรือน ยุ้งข้าว และรื้อทำลายทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 คน โดยให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งหมดคนละ 10,000 บาท ภายใน 30 วัน
ขณะที่วิธีการรื้อถอนด้วยการเผาทำลายเพิงพัก และยุ้งฉางนั้น ศาลตัดสินว่าเป็นการดำเนินการที่เหมาะสมตามหลักความเหมาะสม และถือได้ว่าเป็นการใช้อำนาจโดยชอบของพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 22 แห่ง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504
คำตัดสินดังกล่าวสร้างความเจ็บปวดให้กับปู่คออี้ และชาวบ้านผู้ฟ้องคดี ซึ่งต่างยืนยันว่าอาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวมาก่อนการประกาศเขตอุทยาน ที่สำคัญวิถีหาอยู่หากินยังเป็นแบบพึ่งพาธรรมชาติ ไม่ได้ทำลายป่าไม้เหมือนที่เจ้าหน้าที่อุทยานกล่าวอ้างแต่อย่างใด
ทำให้กลุ่มชาวบ้านมอบอำนาจให้ทนายความจากสภาทนายความ เข้ายื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลปกครองกลางต่อศาลปกครองสูงสุด เนื่องจากผู้ฟ้องคดีเห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลปกครองกลางยังมีความบกพร่องคลาดเคลื่อน และยังวินิจฉัยไม่ครบประเด็นตามคำฟ้องของผู้ฟ้องคดี
โดยปู่คออี้ กล่าวยืนยันในวันที่นั่งรถเข็นมาฟังคำพิพากษาด้วยตัวเองว่า ยอมรับคำพิพากษา เมื่อไม่ให้กลับไปอยู่บ้านเดิม แต่สาบานว่าบ้านบางกลอยบน เป็นบ้านเดิม ไม่ได้บุกรุกใหม่ ยืนยันว่าบ้านที่ถูกเผาคือบ้านเกิด ไม่ใช่แค่ที่พัก เพราะตอนเกิดมา จำความได้ก็อยู่กับแม่กับพ่อ น้ำนมหยดแรกก็กินที่บางกลอยบน
“ปู่อยากกลับบ้านนะ ไม่ว่าจะเดินไป หรือคลานไปก็จะไป ที่ไหนก็ตามที่เหมาะกับเรา มันมีความสุขเสมอ และยังยืนยันว่าถ้าร่างกายยังแข็งแรงยังไงก็จะสู้จนถึงที่สุด” ปู่คออี้ กล่าว
มาวันนี้ผ่านมา 1 ปีหลังคำพิพากษาชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านยังยากลำบาก ทั้งปัญหาที่ดินทำกิน ปัญหาสิทธิสถานะทางทะเบียนยังไม่ได้รับการแก้ไข และเมื่อทำกินตามวิถีไม่ได้อย่างปกติ ก็ส่งผลกระทบโดยตรงกับปากท้องของชาวบ้าน
ปัญหามากมายยังไม่ได้รับการแก้ไข
เมื่อเร็วๆนี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นำโดยนางเตือนใจ ดีเทศน์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ลงพื้นที่รับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้านบางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ทั้งเรื่องปัญหาที่ดินทำกิน ซึ่งไม่เพียงพอกับชาวบ้าน และปัญหาสถานะทางทะเบียน
นางเตือนใจ กล่าวว่า จากการมาเยี่ยมชาวบ้าน พบว่านอกจากปัญหาด้านที่ทำกินที่เดือนร้อนมานาน ชาวบ้านยังมีปัญหาด้านสถานะบุคคลที่มีจำนวนเกือบ 300 คน ที่ยังไม่มีสัญชาติ แม้กระทั่งปู่คออี้ ยังมีเพียงบัตรเลขศูนย์ หรือผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียน ทำให้ไม่ได้รับสิทธิต่าง ๆ เหมือนคนไทย ทั้งที่มีหลักฐานยืนยันชัดว่าเป็นคนไทย ดังนั้นหน่วยงานรัฐควรเร่งเข้ามาดูแลปัญหาให้กับชาวบ้านบางกลอย
ขณะที่ นายนิรันดร์ พงษ์เทพ ผู้ใหญ่บ้านบางกลอย กล่าวว่า ปัญหาใหญ่ของชาวบ้านคือปัญหาที่ดินทำกิน แม้จะได้รับการจัดสรรในปี 2539 แต่ได้ไม่ครบทุกครอบครัว พื้นที่ส่วนใหญ่ยังเป็นดินลูกรัง ทั้งยังถูกจำกัดพื้นที่จนไม่สามารถทำไร่หมุนเวียนได้ ซึ่งเป็นผลกระทบต่อพันธุ์ข้าวและพันธุ์พืชพื้นบ้านหลายชนิดอาจสูญพันธุ์ พวกเราท้อแท้ที่ไม่มีที่ทำกิน บางคนต้องเสี่ยงกลับไปที่บางกลอยบน คนที่มีที่ทำกินก็ไม่ได้ผลผลิต ทำ 3-4 ไร่ ได้ข้าวแค่ 2-3 ถุงปุ๋ย โครงการที่เข้ามาช่วยเรื่องอาชีพ เช่น นาขั้นบันไดที่ต้องเป็นดินเหนียว แต่พื้นที่เรายังเป็นลูกรัง เมื่อปล่อยน้ำเข้านาก็ซึมหายหมด
ด้าน นายอภิสิทธิ์ เจริญสุข ชาวบ้านบางกลอย กล่าวว่า ขณะนี้ชาวบ้านกำลังสำรวจข้อมูลชุมชนในพื้นที่ป่าแก่งกระจาน ทั้งลำน้ำ ประชากร พื้นที่ทำกินดั้งเดิม-ปัจจุบัน เพื่อใช้เป็นข้อมูลยืนยันการมีอยู่ของชุมชนดั้งเดิมในป่าแก่งกระจาน ซึ่งในอนาคตหากยกพื้นที่ให้เป็นมรดกโลก ข้อมูลชุดนี้จะเป็นสิ่งที่ยืนยันการมีสิทธิของชุมชน โดยจากการเก็บข้อมูลเมื่อต้นปีนี้พบว่า ที่บ้านบางกลอยมีคนถือบัตรเลขศูนย์ (ผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียน) 230 ราย ยังไม่มีบัตรประชาชน 68 ราย และผู้มีบัตรประชาชนแล้ว 569 ราย เป็นข้อมูลที่ทางราชการไม่เคยทราบมาก่อน อยากให้มีการแก้ปัญหานี้ก่อนเรื่องอื่น ๆ เพราะถ้าแก้ปัญหาสถานะให้ชาวบ้านได้สำเร็จ
ทนายยันพร้อมเดินหน้าทวงความยุติธรรม
ในส่วนคดีความนั้น นายสมนึก ตุ้มสุภาพ ทนายความจากสภาทนายความ ในฐานะผู้รับมอบอำนาจของปู่คออี้ พร้อมพวก เปิดเผยถึงการพูดคุยกับปู่คออี้ ว่า ตนได้ขึ้นไปสอบถามและบอกถึงแนวทางการต่อสู้คดีกับปู่คออี้ เมื่อ ก.ค.60 ที่ผ่านมา พบว่าสภาพปู่เริ่มโรยรา ตามสังขาร ตาเริ่มไม่ดี มองไม่ค่อยเห็น แต่ความจำยังดี และยังยืนว่าอยากกลับไปอยู่ที่บ้านเดิม ที่เคยอยู่มาตั้งแต่เกิด และเฝ้ารอเวลาว่าจะทำยังไงถึงจะได้กลับไปอยู่ที่บ้านเดิม ปู่ยังมีความหวัง และคิดว่าแกคงอยู่ได้อีกไม่นาน ก็เลยอยากกลับไปตายในที่ที่แกเคยอยู่ แต่แกก็ยังต้องการต่อสู้ในกระบวนการที่มีช่องทางให้แกเดิน แกจะเดินตามกระบวนการตามกฎหมายที่มีอยู่ เพราะแกเชื่อเสมอว่าที่นั่นคือบ้านของแก
“แม้ร่างกายปู่จะร่วงโรยไปตามสังขาร และดูทรุดลงไปมาก โดยไม่รู้ว่าปีหน้าจะมีแรงมากพอที่จะต่อสู้ทวงสิทธิในการกลับไปอยู่ถิ่นเกิดหรือไม่นั้น แต่ใจแกยังสู้ และยังอยากกลับไปอยู่ที่บ้านเดิม เช่นเดียวกับลูกชายคนเดียวของแก ที่เครียดจนป่วยหนักเดินไม่ได้ ก็อยากกลับไปอยู่และหวังว่าจะได้ขึ้นไปอยู่ในป่ากับพ่อของเขา สำหรับเรื่องคดีความนั้นยังคาดการณ์ไม่ได้ว่าศาลจะมีคำตัดสินมื่อไหร่ ทราบแต่เพียงว่าขณะนี้สิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริงแล้ว ก็คงต้องรอต่อไปจนกว่ากระบวนการจะสิ้นสุดลง ปู่ถึงจะรู้ว่ามีสิทธิจะได้กลับไปอยู่บ้านเดิมหรือไม่”นายสมนึก กล่าว
ปู่ยืนยันยังต้องการกลับไปอยู่บ้านเดิม
น.ส.พิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยานายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ หลานชายปู่คออี้ที่หายตัวไป เล่าถึงสภาพปู่ตอนนี้ว่า ช่วงนี้ปู่ไม่ค่อยสบาย ขึ้นไปหาปู่ครั้งล่าสุดแกผอมลงไปมาก เพราะกินข้าวไม่ค่อยได้ และยังไม่ชินกับสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว ทำให้แกอยู่อย่างไม่มีความสุขเหมือนข้างบน อีกทั้งการที่แกลงมาอยู่ในที่ที่ไม่ใช่ที่ของแกทำให้ลำบากใจ เพราะเหมือนไปเบียดเบียนคนอื่น
“ปู่บอกหนูว่ายังอยากกลับไปที่ถิ่นเกิด เขาบอกว่าที่ลงมาอยู่ไม่ใช่ที่ของแก เหมือนมาแย่งที่อยู่อาศัยของคนอื่น เลยไม่มีความสุข แกยืนยันว่ายังอยากขึ้นไปที่ถิ่นเกิด อย่างน้อยถ้าได้กลับไป ก็อยากกลับไปตาย จะทำให้มีความสุขมาก” ภรรยาบิลลี่ เล่าถึงความฝันสุดท้ายของผู้เฒ่า
1 ปีมาแล้วที่ผู้เฒ่ายังคงวาดฝันว่าในห้วงสุดท้ายของชีวิตจะได้กลับไปตายที่ถิ่นเกิด แม้ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร และไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วความฝันจะเป็นจริงหรือไม่
ขอบคุณภาพจาก ชัยรัตน์ จิโรจน์มนตรี สำนักข่าวชายขอบ