ภายหลังการประกาศเจตนารมณ์ขับเคลื่อนหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ของหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เมื่อเร็วๆนี้

หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้จัดเสวนาเรื่อง “รวมพลังหอการค้า ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนไทย อย่างยั่งยืน” ขึ้น

มีวัตถุประสงค์มุ่งสร้างโมเดลธุรกิจยั่งยืน ด้วยการลดใช้ทรัพยากร จัดการของเสียอย่างครบวรจร และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีกลยุทธ์สำคัญตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ได้แก่
1.การออกแบบสินค้าให้เกิดการนำมาใช้ซ้ำ หรือใช้ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.ลดปริมาณของเสียหรือให้เป็นศูนย์
3.ใช้วัตถุดิบที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
และ 4.มีระบบบริหารจัดการของเสียที่มีประสิทธิภาพอย่างครบวงจร

ในแผนงานปี 2564 จะเน้นดำเนินการที่ภาคธุรกิจการค้าและบริการในจังหวัดชายฝั่งทะเลกว่า 23 จังหวัด เพื่อช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเล รวมทั้งส่งเสริมธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการ

คาดหวังให้แต่ละจังหวัดมีโครงการต้นแบบอย่างน้อย 1 โครงการ และสามารถนำไปขยายผลภายในจังหวัดของตนต่อไป

เมื่อปีที่ผ่านมาหอการค้าไทย ยังได้ร่วมกับมูลนิธิชัยพัฒนา จัดทำหนังสือ “เงินทองจากกองขยะ” หรือ Waste to Wealth ซึ่งเป็นชุดความรู้เรื่องการจัดการขยะตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนที่สามารถนำไปเป็นต้นแบบหรือต่อยอดประยุกต์ใช้ได้

ตัวอย่างสถานประกอบการที่นำหลักดังกล่าวไปใช้คือ “สวนสามพราน” จ.นครปฐม ภายใต้การปฏิบัติด้านความยั่งยืน จนทำให้พื้นที่สวนสามพราน 127 ไร่ ได้รับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ IFOAM, EU และ CANADA ขับเคลื่อนสังคมอินทรีย์ในรูปแบบของสามพรานโมเดล โมเดลธุรกิจเกื้อกูลสังคม

โดยทำงานส่งเสริมให้เกษตรกรในเครือข่าย 16 กลุ่ม 170 กว่าราย ทำเกษตรอินทรีย์ และเชื่อมต่อช่องทางตลาดไปยังผู้ประกอบการ และผู้บริโภค ซื้อวัตถุดิบอินทรีย์จากเกษตรกรในเครือข่ายสามพรานโมเดล คิดเป็น 70% ของวัตถุดิบอาหารที่ใช้ทั้งหมด ปลูกข้าว ผัก ผลไม้ และสมุนไพรอินทรีย์ ที่ปฐมออร์แกนิกฟาร์ม ในปริมาณ 1-2 ตันต่อเดือน

จัดสรรพื้นที่ “ตลาดสุขใจ” กว่า 2 ไร่ เป็นช่องทางการขายสินค้าอินทรีย์จากเกษตรกรในเครือข่ายสามพรานโมเดลสู่ผู้บริโภค เลิกใช้บรรจุภัณฑ์โฟม หลอดพลาสติก และขวดน้ำพลาสติก แยกขยะอาหารทั้งหมด เพื่อนำไปรีไซเคิลเป็นปุ๋ยอินทรีย์ อาหารสัตว์ และเลี้ยงไส้เดือน

ผลิตอาหารแปรรูปและผลิตภัณฑ์จากวัตถุดิบอินทรีย์ ภายใต้แบรนด์ “ปฐม” เพื่อนำมาใช้ใน สวนสามพราน และจำหน่ายให้กับผู้บริโภคทั่วไป รีไซเคิลน้ำมันพืชใช้แล้วให้เป็นไบโอดีเซลเพื่อใช้งานในสวนสามพราน เป็นต้น

นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว นำมาซึ่งปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น ความเหลื่อมล้ำ ภัยแล้ง น้ำท่วม ขยะล้นเมือง และสุดท้ายปัญหาเหล่านี้จะกลับมากระทบต่อธุรกิจ สำหรับหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน เป็นเรื่องของการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด และหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ให้คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ จึงมีส่วนสำคัญในการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

หอการค้าไทยจึงมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนผ่านเครือข่ายสมาชิก ซึ่งดำเนินธุรกิจการค้าและบริการใน 3 ห่วงโซ่เศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ การค้าและการลงทุน การเกษตรและอาหาร และการท่องเที่ยวและบริการ

ในปัจจุบัน ทางหอการค้าไทย มีเครือข่ายสมาชิกทั่วประเทศกว่า 100,000 ราย ประกอบด้วย ผู้ประกอบการไทยและต่างชาติ ซึ่งพร้อมจะดำเนินงานร่วมกับทุกภาคส่วน ได้แก่ ภาครัฐ ทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน รวมทั้งภาคประชาสังคม โดยจะนำโครงการต้นแบบขององค์กรต่างๆ มาปรับใช้ตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ต่อไป

“รัฐบาลได้ประกาศนโยบายโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG หรือ Bio-Circular-Green Economy โดยผมได้รับแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการบริหาร BCG และดูแลด้านการท่องเที่ยว เชื่อว่านอกจาก Circular Economy จะช่วยลดผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ด้วย จึงยินดีอย่างยิ่งที่จะตอบรับภาครัฐในการขับเคลื่อนนโยบายนี้ในภาคเอกชนด้วยเช่นกัน”นายกลินท์ กล่าว

ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน หอการค้าไทย กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจรูปแบบเก่า หรือ Linear Economy เป็นการนำทรัพยากรมาผลิต เกิดของเสียแล้วทิ้ง ทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมตามมา จึงเกิดรูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบใหม่ คือ เศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจที่คำนึงถึงคุณค่าของทรัพยากรตลอดช่วงชีวิตของผลิตภัณฑ์ รวมถึงการนำกลับมาใช้ซ้ำ หรือใช้ใหม่ให้มีประสิทธิภาพ

โดยมีกลยุทธ์สำคัญ คือ การออกแบบสินค้าให้เกิดการนำมาใช้ซ้ำ หรือใช้ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการบริหารจัดการของเสียอย่างเป็นระบบครบวงจร ทำให้การดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม สามารถช่วยลดก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของโลกในขณะนี้

ในปีที่ผ่านมา คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน หอการค้าไทย ได้จัด “Circular Economy Workshop” ขึ้นเพื่อหาแนวทางการดำเนินงาน โดยมีตัวแทนจากภาคเอกชน อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย รวมทั้งเครือข่ายของหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เข้าร่วมนำเสนอความเห็น

จากการเวิร์กช็อปพบว่า การขับเคลื่อนแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนควรเน้นที่ปลายน้ำของ Value Chain หรือภาคธุรกิจการค้าและบริการ ให้มีการบริหารจัดการของเสีย หรือ Waste Management ที่มีประสิทธิภาพ โดยเน้นที่ขยะเศษอาหารและพลาสติก ซึ่งเป็นประเภทขยะที่มีปริมาณมาก โดยหอการค้าไทย ได้จัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนขึ้น ประกอบด้วยตัวแทนจากภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในกลุ่มสมาชิก อย่างเป็นรูปธรรม

นายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ที่ปรึกษาคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน กล่าวว่า จากปริมาณขยะทั้งหมดในประเทศไทย 27.8 ล้านตันต่อปี มีสัดส่วนที่นำไปรีไซเคิลเพียง 31% ดังนั้นขยะที่อยู่นอกระบบจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาขยะทะเลที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางน้ำ

จากข้อมูลของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยหรือทีดีอาร์ไอ พบว่า กว่า 80% ของขยะทะเลเกิดขึ้นจากกิจกรรมบนบก โดยที่มาของปัญหาคือพฤติกรรมของมนุษย์ การจัดการขยะตั้งแต่ต้นทางจึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้วัสดุได้หมุนเวียนกลับคืนมาในระบบเศรษฐกิจ และไม่หลุดรอดไปทำลายสิ่งแวดล้อม

น.ส.ลิลลา สีหพันธุ์ กรรมการ คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน (คณะทำงานจัดการขยะอาหาร) กล่าวว่า ประเทศไทยมีธุรกิจด้านการท่องเที่ยวและร้านอาหารจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับขยะเศษอาหารที่ยังไม่มีการจัดการที่ดีเพียงพอ เนื่องจากขยะอาหารก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกและส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน เราให้ความสำคัญเรื่องการให้ความรู้ ความเข้าใจ และแบ่งปันวิธีการดำเนินงาน โดยเน้นผลดีที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจ ทั้งเรื่องการลดต้นทุน และการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ

นอกจากนี้ หัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในหอการค้าไทย คือ การสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการที่สนใจและมีความต้องการเดียวกันผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่เรียกว่า “Social Lab” หรือห้องปฏิบัติการทางสังคม ซึ่งการทำ Social Lab เป็นกระบวนการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เรียนรู้ และเข้าใจความเชื่อมโยงขององค์ประกอบต่างๆ เพื่อเกิดการลงมือเปลี่ยนแปลงร่วมกัน

โดยปีที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการและกลุ่มผู้ประกอบการคนรุ่นใหม่กว่า 80 คน เข้าร่วมโครงการและพร้อมจะนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนไปปรับใช้ในธุรกิจและชีวิตประจำวัน ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ และในปีนี้จะเดินหน้าสร้างการมีส่วนร่วมและสร้างความเข้มแข็งให้กับเครือข่ายต่อไป

นายกีรติ อัสสกุล กรรมการ คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน ในฐานะกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า หอการค้าไทยเป็นองค์กรเอกชนที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ เราจะเป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนผู้ประกอบการธุรกิจการค้าและบริการ ให้มีการดำเนินงานตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ควบคู่กับการสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายพร้อมทำให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมร่วมกับภาครัฐ เครือข่ายเอกชนอื่นๆ และประชาชนเราเชื่อว่าการพัฒนากระเทศอย่างยั่งยืนตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนจะสำเร็จได้ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน

วรนุช มูลมานัส

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน