นักวิชาการ มธ. ตอบชัดกทม.น้ำจะท่วมหรือไม่ ชี้ปัจจัยเสี่ยงเดียวคือการจัดการน้ำ แต่คาดสถานการณ์ไม่น่าจะรุนแรงเท่ากับปี 2554

29 ก.ย. 2564 – ผศ.อาสาฬห์ สุวรรณฤทธิ์ คณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงความกังวลต่อสถานการณ์น้ำของคนกรุงเทพมหานคร ว่าตัวชี้วัดที่จะบอกว่ากรุงเทพฯ จะน้ำท่วมหรือไม่ มีอยู่ด้วยกัน 3 เรื่อง

1.ปริมาณน้ำฝนในพื้นที่
2.ปริมาณน้ำหลากจากภาคกลางตอนบน
3.น้ำทะเลหนุน

ปัจจุบันปริมาณน้ำฝนยังอยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยปกติ ปริมาณน้ำหลากยังไม่ได้มีมากเท่าปี 2554 และน้ำทะเลหนุนก็ยังไม่ใช่จังหวะที่จะสร้างผลกระทบรุนแรงแต่อย่างใด

แม้ว่าขณะนี้จะเป็นฤดูฝน มีฝนตกแทบทุกวัน แต่เมื่อพิจารณาจากสถิติของสำนักงานระบายน้ำกรุงเทพมหานคร ล่าสุดพบว่าฝนในเดือน ก.ย. ยังตกน้อยว่าค่าเฉลี่ยคาบ 30 ปี ส่วนระดับน้ำในคลองที่อยู่ในพื้นที่คันกั้นน้ำของ กทม. ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ แม้น้ำในคลองนอกคันกั้นน้ำในบางจุดมีสูงขึ้นมาบ้างในระดับเตือนภัย เช่น ฝั่งตะวันออกบางจุดของกรุงเทพฯ ซึ่งสะท้อนว่ากำลังมีการบริหารจัดการน้ำในระดับภูมิภาคในลุ่มน้ำภาคกลางอยู่

สำหรับปริมาณน้ำหลาก แม้ว่าช่วงนี้จะมีน้ำท่วมทางภาคเหนือ และภาคกลางตอนบน แต่ปริมาณน้ำยังไม่มากเท่ากับปี 2554 อัตราการไหลของน้ำที่สถานีแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ อ.เมือง จ.นครสวรรค์ ในเดือน ก.ย. 2554 มีอัตรากว่า 4,335 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 2,400 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ถือว่าน้อยกว่าอยู่มาก

ผศ.อาสาฬห์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของปี 2564 ไม่ใช่ปัจจัยทางธรรมชาติเรื่องน้ำอย่างเดียว ยังมีปัจจัยเรื่องของการใช้ประโยชน์ที่ดิน การปรับเปลี่ยนผังเมืองควบคู่ไปกับยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ำ ซึ่งถือเป็นตัวแปรสำคัญ เนื่องจาก 10 ปีที่ผ่านมา การพัฒนาเมืองขยายตัวเพิ่มขึ้น มีการพัฒนาแถบชานเมือง ทำให้พื้นที่รองรับน้ำได้เองตามธรรมชาติ เช่น ทุ่งหญ้า หนองน้ำ เกษตรกรรม หายไป พื้นที่ชานเมืองที่มีการพัฒนาตัดถนน พื้นที่พัฒนาเมือง หมู่บ้านจัดสรร เสี่ยงน้ำท่วมขังง่ายขึ้น นานขึ้น เสี่ยงที่น้ำจะท่วมขังเพราะน้ำไม่มีทางไหลไปไหน

ถ้าไม่มีพายุเข้ามาเติมน้ำทางภาคเหนือและภาคกลางตอนบน ก็คาดว่าสถานการณ์จะไม่รุนแรงเท่ากับปี 2554 แต่ก็ไม่มีใครบอกได้ว่าเดือนตุลาคมสถานการณ์จะเป็นอย่างไร คงต้องจับตาดูพายุที่จะเข้ามาต่อไป สำหรับเขตพื้นที่กรุงเทพฯ เชื่อว่าจะยังพอควบคุมได้ เพราะกทม.มีระบบป้องกันน้ำหลาก ที่ออกแบบไว้พอสมควร ฉะนั้นความเสี่ยงเดียวที่ กรุงเทพฯ จะท่วมก็คือ บริหารจัดการไม่ดี แต่ก็เป็นเพียงการท่วมขังหรือที่มักเรียกกันว่า “น้ำรอระบาย” ซึ่งเกิดจากระบบระบายน้ำไม่ได้บำรุงรักษา มีขยะไปอุดตัด ทำให้น้ำไหลช้า เป็นคำถามว่า ขณะนี้ กทม.รับมือกับเรื่องการจัดการระบบระบายน้ำพื้นฐานอย่างไร

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน