วันที่ 12 ต.ค. ดร.สุกิจ พูนศรีเกษม ทนายความชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงศึกษากรณี คดีนายวรยุทธหรือ”บอส” อยู่วิทยา ทายาทเศรษฐีกระทิงแดง

ความเป็นมาและสภาพปัญหา เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2555. เวลา 5นาฬิกาเศษ ได้เกิดอุบัติเหตุ รถยนต์รถเฟอร์รารีเฉียวชน รถจักยานยนต์ ขับขี่โดย ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่งานปราบปราม สน.ทองหล่อ เสียชีวิต

หลังเกิดเหตุ สารวัตรปราบปราม สน.ทองหล่อ พา นายสุเวศ หอมอุบล ลูกจ้างของครอบครัวอยู่วิทยา ได้มอบตัวต่อพนักงานสอบสวนว่า เป็นผู้ขับขี่รถยนต์คันที่เกิดเหตุ เพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณ

พ.ต.อ. วิรดล ทับทิมดี พนักงานสอบสวน ได้รับตัวไว้เป็นผู้ต้องหาส่งฟ้องศาลดำเนินคดี ผู้ต้องหาให้ให้การรับสารภาพ ศาลได้ลงโทษจำคุกและเปรียบปรับโทษจำคุก รอลงอาญา อัยการไม่อุทธรณ์

สังคมกดดันขบวนการยุติธรรมเบื้องต้นว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทองหล่อ ถูกกล่าวหาว่า ได้สร้างพยานเท็จ ยินยอมให้ นายสุเวศ หอมอุบล รับสมอ้างว่าเป็นผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุ

รวมถึงที่มีการปล่อยข่าวว่ารถยนต์ได้ลากศพของตำรวจไป 200 เมตร จนท้ายที่สุดอัยการได้ชี้แจงไว้กับคณะ กมธ. ตำรวจ ถึงผลชันสูตรศพและไม่พบบาดแผลที่ถูกรถยนต์ลากไปกับถนนแต่อย่างใด

เป็นเหตุให้ นายวรยุทธหรือ”บอส” อยู่วิทยามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนและให้การภาคเสธ โดยอ้างว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความผิดของผู้ตาย และผู้ต้องหาเพิ่งดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์แล้ว

หลังจากผู้ต้องหาได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ตำรวจก็ไม่สามารถนำผู้ต้องหานี้เข้าสู่ขบวนการยุติธรรมได้ เป็นเหตุให้พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ ผู้บังคับบัญชา สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการ เมืองทนายความ

ถูกสังคม กล่าวหาว่า แทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของกองพิสูจน์หลักฐาน ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ใช้อิทธิพลบังคับ และการสร้างพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ มีการสมคบคิดกันอย่างเป็นระบบ เพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหาให้รอดพ้นจากการถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย เป็นข่าวทางสื่อมวลชน สังคมกดดันกระบวนการยุติธรรมตามความรู้สึกของตนเองตามที่ผู้ต้องหา ตกเป็นข่าว

พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงมีคำสั่งแต่งตั้งให้นายวิชา มหาคุณ เป็นประธาน สอบข้อเท็จจริงและเสนอนายกรัฐมนตรี ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีกับนายวรยุทธหรือบอส อยู่วิทยา ผลการสอบข้อเท็จจริง นายวิชา มหาคุณอ้างว่า พยานกลับคำให้การ จึงเป็นพยานหลักฐานใหม่

อัยการสูงสุดจึงมีคำสั่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและ สน.ทองหล่อ ดำเนินคดีกับ นายวรยุทธหรือบอส อยู่วิทยา ตามความเห็นข้อเสนอแนะของนายวิชา มหาคุณ นั้น จึงขัดต่อหลักนิติธรรม จึงเป็นกรณีศึกษา

คดีนี้ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นที่ยุติ เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2555 เวลา 5 นาฬิกาเศษ ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุตำรวจว่ามีเหตุรถยนต์รถเฟอร์รารี ชน รถจักยานยนต์มีนายดาบตำรวจ วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่งานปราบปราม สน.ทองหล่อเป็นผู้ขับขี่ ได้ถึงแก่ความตาย เหตุเกิดบริเวณถนนสุขุมวิทชอย 45

พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่ นายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา เป็นผู้ต้องหาในความผิดฐานขับรถประมาทด้วยความเร็วสูง เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และทำให้รถจักรยานยนต์ผู้ตายได้รับความเสียหาย ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือผู้ตาย

คดีมีปัญหาที่จะต้องพิจารณาคือ ผู้ต้องหา ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหาหรือไม่ เห็นว่า สถานที่เกิดเหตุ มีกล้องวงจรปิดเป็นพยาน ตรงกับคำให้การ นายจารุชาติ มาดทอง ให้การเป็นพยาน

ยืนยันว่าในวันเกิดเหตุผู้ต้องหา ขับมาด้วยความเร็วตามปกติรถจักยานยนต์ของนายดาบตำรวจ วิเชียร ผู้ตาย ขับรถมาทางช่องทางเดินรถซ้ายสุดโดยมิได้เปิดไฟ เกิดเสียการทรงตัว แล้วหมุนเข้าไปใน ทางเดินรถของผู้ต้องหา ในลักษณะขวางตัดหน้าใกล้ทางกลับรถ ในทางเดินรถรถยนต์ของ ผู้ต้องหา และขวางรถที่ผู้ต้องหาขับมาในระยะกระชั้นชิด

นอกจากนี้เมื่อพิจารณาตามภาพถ่ายวงจรปิดในสถานที่เกิดทุกตัวแล้วรับฟังประกอบกับผลชันสูตรศพผู้ตายไม่พบบาดแผลที่ถูกรถยนต์ลากไปกับถนนแต่อย่างใด กับรับฟังได้ว่า ในวันเกิดเหตุ ผู้ตาย จึงไม่ได้ขับจักรยานยนต์ของตน ให้อยู่ ในช่องเดินรถด้านซ้ายตามปกติ

เมื่อสมกับคำให้การของพ.ต.ท.สุรพล เดขรัตนวิไชย ผู้เชี่ยวชาญของศาลชึ่งเป็นพยานคนกลาง ให้การว่า ผู้ต้องหาขับรถในขณะชน นั้น ความเร็วไม่เกิน 80 กม/ชม จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่า ผู้ตายเปลี่ยนช่องทางเดินรถอย่างกะทันหัน เพื่อกลับรถในช่องทางรถยนต์ของผู้ต้องหาที่ขับขี่มาทางตรง นั้น

เห็นว่าในภาวะเช่นนั้นไม่ว่า”ผู้ต้องหา จะขับมาในลักษณะเช่นใด ย่อมไม่อาจจะหลบหลีก เพื่อมิให้ชนกับรถจักรยานยนต์ผู้ตายขับขี่ได้ จึงมิใช่เป็นผลโดยตรง ที่ทำให้เกิดการเฉี่ยวชนกันกับรถผู้ต้องหา เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย

แม้ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แตงจั่น ตำรวจพิสูจน์หลักฐานความเร็ว คดีบอส อยู่วิทยา ผู้ต้องหา จะให้การกลับไปกลับมาว่า ผู้ต้องหาขับรถด้วยความเร็วสูง

อีกทั้ง พนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการ จะไม่นำคำให้การของพ.ต.ท.สุรพล เดขรัตนวิไชยผู้เชี่ยวชาญของศาลและผลพิสูจน์ความเร็วของรถยนต์ผู้ต้องหา ที่พยานให้การประกอบหลักฐานว่า”นายบอส”ขับรถในขณะชนความเร็วตามปกติมาพิจารณาก็ตาม

ก็ไม่ทำให้เท็จจริง ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาต้องเปลี่ยนแปลงไป การกระทำผู้ต้องหาจึงไม่มีความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตามข้อกล่าวหาได้ ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4883/2553

หมายเหตุ

พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เห็นว่าคดีนี้เป็นคดีขับรถประมาท เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย เป็นเรื่องปกติธรรมดา ที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้น ไม่อยากให้ต่างชาติเห็นว่าเป็นคดีการเมือง จึงแต่งตั้งให้นายวิชา มหาคุณ ชึ่งอดีตเป็นผู้พิพากษา เป็นประธานสอบสอบข้อเท็จจริงตามที่ได้รับมอบหมายว่า นั้น

*ด้วยความเคารพ *

ในการตรวจข้อเท็จจริงนั้นตามหลักสากล ต้อง ไม่มี”อคติ” คดีมีมูลความผิดตามข่าวและสังคมกดดัน หรือไม่

มีเจ้าหน้าที่ประจำไม่ว่าพนักงานสอบสวน หรือพนักงานอัยการ นักการเมือง ทนายความ มีส่วนเกี่ยวข้องในความช่วยเหลือให้ผู้ต้องหาหลุดพ้นจากความรับผิดหรือไม่

การให้ความเห็นของประธานสอบข้อเท็จจริง มีหลักกฏหมายใด รองรับ หรือไม่ และความเห็นต้องไม่ขัดหรือแย้งกับแนวคำพิพากษาศาลฎีกา เว้นแต่จะมีเหตุอื่น

เพื่อให้หน่วยงานต้นสังกัดสอบสวนทางวินัย และดำเนินคดีอาญา ข้อเสนอแนะของนายวิชาฯ เป็นเพียงความเห็นเท่านั้นแต่ อัยการตำรวจ ชึ่งปฎิบัติตามหน้าที่ ต้องถูกลงโทษโดยไม่มีความผิด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน